หนุ่มเมืองจันท์ : เครดิต

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

 

วันก่อน มีโอกาสได้คุยกับ ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารของธนาคารไทยพาณิชย์

ได้ภาษาจีนแต้จิ๋วมาคำหนึ่งครับ

“เปี่ยงเจี๊ย”

คำนี้คำเดียวเป็นคำเปลี่ยนชีวิตของ “วิชิต”

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตอนที่เขาอายุ 22 ปี

เพิ่งเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ครอบครัวของ “วิชิต” ทำโรงงานกล่องกระดาษ

ตอนที่ยังเรียนอยู่ เขาก็เริ่มเข้ามาช่วยงานของครอบครัว

คุมโรงงาน ดูแลเครื่องจักร

สิ่งที่เรียนรู้ในห้องเรียน คือ วิชาการ

แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้จากโรงงาน คือ ประสบการณ์

เป็นความรู้ที่ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนสอนได้

ซ่อมเครื่องจักรจริงๆ

ทำงานกับคนงานจริงๆ

ตอนแรกธุรกิจของครอบครัวก็รุ่งเรืองดี เพราะเป็นโรงงานกล่องกระดาษในยุคแรกๆ

มีไม่กี่โรงงานในเมืองไทย

แต่ยิ่งนานวัน คู่แข่งก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

และเครื่องจักรก็ทันสมัยกว่าโรงงานของเขา

ธุรกิจเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ

คุณพ่อของ ดร.วิชิต เป็นเพื่อนกับ คุณอุเทน เตชะไพบูลย์ มาตั้งแต่เด็ก

ในยุคนั้น “อุเทน” ถือเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย

เป็นเจ้าของแบงก์ศรีนคร

ตระกูลเตชะไพบูลย์ยิ่งใหญ่มาก

ทั้ง “อุเทน” และคุณพ่อ ดร.วิชิต เป็นคนที่ชอบช่วยเหลือสังคมเหมือนกัน

คุณพ่อ ดร.วิชิต เป็นนายกสมาคมแต้จิ๋ว

ส่วน “อุเทน” เป็นประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ทั้งคู่คบหากันมานาน

จนวันหนึ่งเมื่อโรงงานกล่องกระดาษย่ำแย่ ต้องการเงินก้อนหนึ่งเพื่อนำไปซื้อเครื่องจักรใหม่มาสู้กับคู่แข่ง

คนแรกที่เขาคิดถึงคือ “อุเทน” เพื่อนเก่า

“แต่คุณพ่อเป็นคนรักษาหน้า ไม่ยอมไปกู้เงินจากคุณอุเทน”

คนที่รับหน้าที่ไปเจรจากับเจ้าของแบงก์ศรีนคร จึงเป็น “วิชิต”

เด็กหนุ่มที่เพิ่งจบจากรั้วมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ

เขาเคยเจอกับเจ้าสัวอุเทนครั้งเดียวก่อนเรียนจบ

วันที่ไปเจรจากู้เงิน เขาไปนั่งรอหน้าห้องคุณอุเทนตั้งแต่เช้า

มีคิวก่อนหน้าเขาหลายคน

จนเที่ยง คุณอุเทนจึงชวนเขาไปนั่งกินข้าวกลางวันด้วยกัน

คุยกันแบบ “อา-หลาน”

เขาเริ่มเล่าปัญหาของโรงงานให้ฟัง คุยถึงวิธีคิดในการแก้ปัญหา ก่อนจะเอ่ยปากขอกู้เงินเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่

“เท่าไร”

“สามล้านสี่แสนบาทครับ”

“มีอะไรค้ำประกัน”

“ไม่มีครับ บ้านก็จำนองไปแล้ว”

ดร.วิชิตเล่าว่า ตอนนั้นสถานะทางบ้านแย่มาก บ้านและโรงงานก็เอาไปจำนอง

ไม่เหลืออะไรเลย

“อะไรนะ” คุณอุเทนอุทาน “แล้วจะปล่อยกู้ได้อย่างไร”

“วิชิต” บอกว่าวินาทีนั้น เขาตัดสินใจบอกกับเจ้าสัวอุเทนตรงๆ

“ตัวผมเป็นหลักประกันครับ”

“วิชิต” เล่าว่า คุณอุเทนอึ้งไป มองตาเขาด้วยท่าทีครุ่นคิด

พักหนึ่ง เจ้าของแบงก์ศรีนครก็ถอนใจ เอ่ยประโยคเปลี่ยนชีวิตของเขา

“เปี่ยงเจี๊ย…เปี่ยงเจี๊ย”

แล้วพยักหน้า

…อนุมัติ

“เปี่ยงเจี๊ย” เป็นภาษาจีนแต้จิ๋วครับ

แปลว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ ในอารมณ์ประมาณว่าจำยอม

คำพูดของ ดร.วิชิตที่บอกว่าตัวเขาคือหลักประกันนั้นจะไม่มี “ความน่าเชื่อถือ” เลย

ถ้าระหว่างการสนทนากับเจ้าสัวอุเทน เขาไม่แสดงให้เห็นว่ารู้เรื่องธุรกิจนี้อย่างดี

ทุกคำถามของ “อุเทน” เขาตอบได้หมด

เพราะทำมากับมือ

แต่คำพูดของเขาเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะสิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุดกลับเป็นคุณพ่อของเขาที่ไม่ได้มาด้วย

ช่วงเวลาที่คุณอุเทนครุ่นคิดนั้น ดร.วิชิตเชื่อว่าเขากำลังคิดถึงความสัมพันธ์เก่าๆ นิสัยใจคอ และความรับผิดชอบของคุณพ่อ

ก่อนจะตัดสินใจอนุมัติให้ “วิชิต” กู้เงิน 3.4 ล้านบาท

แต่ปัญหายังไม่จบ เพราะ “อุเทน” บอกให้ไปคุยกับ “วิเชียร เตชะไพบูลย์” ลูกชายต่อถึงขั้นตอนการกู้เงิน

ตอนไปคุยกับ “วิเชียร” เขาก็ถามถึงหลักทรัพย์ค้ำประกัน

“วิชิต” ก็บอกว่า “ไม่มี”

“วิเชียร” ปฏิเสธไม่ยอมให้กู้

ดร.วิชิต ต้องไปนั่งรอหน้าห้องคุณอุเทนอีกครั้ง

คุณอุเทนกดโทรศัพท์ไปบอก “วิเชียร”

“อั๊วรับปากเขาไปแล้ว”

และตามด้วยอีกประโยคหนึ่ง

“พ่อเขาเป็นคนดี”

คุณพ่อของ ดร.วิชิตเป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจกับเพื่อนฝูง

ทำอะไรโดยไม่หวังผล

เขาคงไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เขาทำในอดีตจะส่งผลมาถึงปัจจุบัน

เป็น “เครดิต” ที่มีมูลค่ายิ่งกว่าหลักทรัพย์ใดๆ

คําว่า “เปี่ยงเจี๊ย” เพียงคำเดียว พลิกชีวิตของ “วิชิต” และครอบครัว

ถ้า “อุเทน” ไม่ให้เขากู้เงินในวันนั้น โรงงานกล่องกระดาษก็คงเจ๊ง

“วิชิต” บอกว่าวันที่เป็นนายแบงก์เอง หลายครั้งที่เขาต้องเจอห้วงเวลาแบบเดียวกับ “อุเทน”

ถ้ายอดเงินกู้ไม่มากนัก ไม่มีผลกระทบต่อสถานะของแบงก์

บางครั้งเขาต้องตัดสินใจว่าจะปล่อยกู้ให้กับธุรกิจของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าหรือไม่

เขาจะนึกถึงวันนั้น วันที่เขานั่งอยู่ข้างหน้าเจ้าสัวอุเทน

คนที่เคยลำบากจะเข้าใจถึงความลำบาก

วินาทีนั้นมีเพียง 2 ทางเลือก

จะ “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” ลูกค้าคนนี้

ถามว่า “ความเชื่อ” นั้นจะเกิดขึ้นจากอะไร

ไม่ใช่เรื่องราวใน “ปัจจุบัน” หรือโครงการที่สวยหรูใน “อนาคต”

แต่เป็น “อดีต”

นิสัยใจคอของคนนั้น

ความรับผิดชอบ

การใช้ชีวิต

เครดิตทางการเงิน ฯลฯ

ทั้งหมดจะผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว

เรียกว่า “ความเชื่อ”

“ความเชื่อ” ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่วันเดียว

แต่ต้องสั่งสมมาอย่างยาวนาน

เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่มี “มูลค่า” แบบอสังหาริมทรัพย์

แต่มี “คุณค่า” ยิ่งกว่า