ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 กรกฎาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
คําว่า ignorance เป็นคำที่แปลเป็นภาษาไทยได้ยากมากคำหนึ่ง
บางคนแปลว่า อวิชชา
บางคนแปลว่า การไม่รู้เรื่องรู้ราว
บ้างแปลว่าการเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริง หรือความรู้
สำหรับฉัน คำว่า ignorance มักจะมาพร้อมกับคำว่า Shallow หรือติ้นเขิน
เมื่อเป็นเช่นนั้น สำหรับฉันแล้ว ไม่มีคำไหนจะอธิบายความหมายของคำว่า ignorance ได้ดีไปว่าคำว่า “กบในกะลา”
ภาวะที่คนจำนวนมากในสังคมหนึ่งคิดว่า ภายใต้กะลาที่พวกเขาอาศัยอยู่คือ ขอบฟ้าของจักรวาลอันกว้างไกล สิ่งที่เกิด สิ่งที่พบ สิ่งที่เห็น สิ่งที่เสพ กันในกะลาคือทั้งหมดของโลกใบนี้ คือมาตรฐาน คือความดี ความงาม คือสัจธรรม
ภาวะเช่นนี้แหละคือความ ignorance และในที่สุดมันจะตามมาพร้อมกับคำว่า “ตื้นเขิน” หรือ Shallow
คนไทยเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ อาจเคยเผชิญหน้ากับภาวะกบในกะลาของ “ผู้อื่น” มาไม่มากก็น้อย
เช่น เราอาจเคยโดนคนต่างชาติถามว่า “คุณขี่ช้างไปทำงานหรือเปล่า?” หรือ “คุณชกมวยไทยทุกวันไหม?” หรือ “ผู้หญิงไทยส่วนใหญ่มีอาชีพโสเภณีใช่หรือไม่?” “คนไทยกินพริกเผ็ดๆ ทุกมื้อ”
หลายครั้งคนต่างชาติจำนวนไม่น้อยก็เชื่อว่าคนไทยทุกคนมีชีวิตอยู่ในคลองพายเรือเหมือนในรูปโฆษณาตลาดน้ำ
ว่ากันว่าประเทศที่มีความโลกแคบอยู่ในกะลาจัดๆ มักเป็นประเทศมหาอำนาจ เช่น อเมริกา ด้วยความที่เป็นประเทศใหญ่โต ใหญ่ทั้งขนาดของประเทศ มีอิทธิพลในฐานะมหาอำนาจของโลก ใช้ภาษาอังกฤษที่เป็นภาษากลางของโลกจึงไม่มีความจำเป็นต้องไปเรียนรู้ภาษาของคนอื่น
หนังฮอลลีวู้ดก็ส่งออกไปทั่วโลก วัฒนธรรมอเมริกันจึงไม่จำเป็นต้องแคร์ใคร
ไม่เห็นต้องไปรู้ว่าคนไทยไม่ได้พายเรือ ขี่ช้าง หรือชกมวยทุกวัน
ยิ่งไปกว่านั้นไม่เห็นต้องรู้เลยว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ชื่อประเทศไทยหรือคนไทยอยู่ในโลกนี้ ไม่เห็นต้องแยกได้ว่าคนไหนเป็นคนจีน คนไหนเป็นคนญี่ปุ่น เกาหลี เพราะคนเอเชีย ก็ตัวเหลืองๆ ตาตี่ๆ เหมือนกันไปหมดนั่นแหละ
ประเทศที่เป็นมหาอำนาจ จะขังตัวเองไว้ในกะลาใบโตๆ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไร
แต่ประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยที่น่าจะเจียมเนื้อเจียมตัว เพราะทั้งเล็กทั้งยากจน ทั้งไม่มีทรัพยากรที่สำคัญอย่างน้ำมูกน้ำมันมากพอที่จะไม่ง้อใครในปฐพี ภาษาไทยก็ไม่ใช่ภาษากลางของโลก กลับไม่เคยแพ้ใครในเรื่องความ ignorance
ในการทำดรรชนีความ ignorance โดย Ipsos Mori 2016 ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับ 7 ของโลกในด้านของความ ignorance โดยสิบอันดับประกอบไปด้วย อินเดีย จีน ไต้หวัน แอฟริกาใต้ อเมริกา บราซิล ไทย สิงคโปร์ ตุรกี อินโดนีเซีย
ความ ignorance อันตรายหรือไม่?
อาจารย์วิโรจน์ อาลี เคยเล่าให้ฉันฟังว่า วันหนึ่งในขณะที่เดินอยู่ที่อังกฤษ อาจารย์เจอคนอังกฤษเดินมาตะคอกใส่หน้าว่า “ไอ้แขก ไสหัวกลับประเทศของมึงไปเลย”
ใช่ อาจารย์วิโรจน์ อาลี มีหน้าเป็นแขก และมีชื่อ นามสกุล เป็นภาษาแขกก็จริง แต่อาจารย์เป็นคนไทยไง ไม่ได้มีถิ่นฐานบ้านช่องอยู่ที่เมืองแขกสักกะหน่อย แล้วฝรั่งอังกฤษเหล่านั้นก็มีชีวิตอยู่ร่วมกับคนแขกในประเทศของตัวเองมาตั้งหลายทศวรรษ ค่าที่ไปยึดเมืองเขามาเป็นอาณานิคม ทำให้แกงกะหรี่กลายเป็นอาหารประจำชาติอังกฤษมาจนถึงทุกวันนี้ แถมยังดื่มชาที่มาจากอินเดียอีกต่างหาก ก็ยังจะ “กะลา” พอที่จะไม่รู้ว่า “แขกทุกคนอาจจะไม่ใช่แขก” แล้วก็เที่ยวไปไล่ใครต่อใครมั่วๆ ซั่วๆ ออกจากประเทศ
และมันจะอันตรายมาก หากอีตากะลาคนนั้นเกิดเกลียดกลัวแขกจริงจังถึงขั้นทำร้ายร่างกาย และใช่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น
พอๆ กับที่ตอนนี้ ใครหน้าตาเป็นชาวตะวันออกกลาง ก็จะถูกมองว่าเป็นมุสลิม เป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งๆ ที่คนคนนั้นอาจเป็นยิว เป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นอะไรเลย แต่พวกเขาก็จะโดนตัดสิน เหมารวม จากภาวะ ignorance
ในสังคมไทยที่อุตส่าห์เป็นประเทศที่มีดัชนีความ ignorance อันดับ 7 ของโลกนั้น เรา ignorance กันในเรื่องอะไรบ้าง และมันอันตรายอย่างไร
เท่าที่ผ่านตาของฉันล่าสุดคือ ข้อเขียนในทำนองว่า – ทำไมคนไทยดูถูกประเทศตัวเอง เฝ้าแต่พูดว่าประเทศตัวเองไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ขนาดฝรั่งมังค่า อย่าง เดวิด เบ๊กแฮม เขายังรักเมืองไทยเลย
ตรรกะนี้สะท้อนความ ignorance ในหลายมิติด้วยกัน
ประการแรก การยกเอาฝรั่งมังค่ามาเป็นตัวชี้วัดคุณค่าของประเทศไทยด้วยตรรกะที่ว่า ขนาดฝรั่ง ขนาด เดวิด เบ๊กแฮม ยังรักเมืองไทย ทำไมคนไทยไม่รักเมืองไทย เป็นเหตุและผลที่ประหลาดมาก เพราะ
หนึ่ง เดวิด เบ๊กแฮม มาถ่ายโฆษณาเมืองไทยแค่ประเดี๋ยวประด๋าว และในฐานะบุคคลสาธารณะ ที่ต้องรักษาภาพพจน์ รักษาความนิยมชมชอบจากแฟนๆ ในฐานะพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าที่ต้องการขายของ เบ๊กแฮมจะพูดอะไรได้มากกว่าการบอกว่ารักเมืองไทยหรือ? และหากเขาไปยูกันดา เอธิโอเปีย ไปฮ่องกง ไปญี่ปุ่น เขาก็ต้องพูดว่า เขารักและเคารพในวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ อยูแล้ว ไม่มีวันเป็นอื่น
ประการที่สอง เดวิด เบ๊กแฮม ไม่ต้องมาอยู่เมืองไทยตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น จะเจออรถติดบ้าง จะเจอทางเท้าห่วยๆ บ้าง จะเจออากาศแย่ๆ บ้าง ก็ไม่ได้ทำให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจอะไร
ที่สำคัญ เดวิด เบ๊กแฮม คงไม่ได้สนใจว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ รัฐธรรมนูญของประเทศไทยมีเนื้อหาอย่างไร สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมืองไทยเป็นอย่างไร เพราะทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา เขาจึงไม่มีอะไรให้ต้องตำหนิติเตียน เบื่อหน่ายเมืองไทย
ส่วนคนไทยที่เฝ้าบ่น ก่นด่าประเทศของตนเองว่าทำไมมันห่วยจัง
นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาต้องเผชิญวิบากกรรมต่างๆ กันไป
และจะว่าไป พลเมืองของประเทศไหนๆ ก็ล้วนแต่ก่นด่าประเทศของตนเองทั้งนั้น
เช่น เราอาจจะบอกว่า ประเทศญี่ปุ่นสวยจัง สะอาดจัง น่าอยู่จัง ปลอดภัยจัง รัฐบาลเขาทำงานดีจัง แต่คนญี่ปุ่นก็บ่นว่า เศรษฐกิจแย่ รัฐบาลห่วยแตก เฉื่อยชา เอาใจแต่นายทุน พ่อค้า ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา
แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เราคิดหรือเชื่อว่าคนเราไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์บ้านเมืองของตัวเอง
ตรงกันข้าม การที่คนไทยเห็นว่าเมืองไทยมีปัญหาอะไรบ้าง สำหรับฉันถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี
นั่นแสดงให้เห็นว่าคนไทยอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น กล้ายอมรับว่าประเทศของตัวเองมีปัญหาที่ต้องการได้รับการแก้ไข
ไม่เป็นคนไทย “หลงชาติ” ที่ไปไหนก็เที่ยวได้พูดไปว่า ไทยแลนด์แดนสยามของฉันดีที่สุด ผลไม้อร่อย ข้าวอร่อย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีกล้วย มังคุด ทุเรียน หลากหลายน่าอิจฉา อาหารไทยก็อร่อยที่สุด ทะเลบ้านฉันสวยที่สุด ภูเขาบ้านฉันก็สวยที่สุด ฯลฯ
ดังนั้น เพื่อลดความ ignorance เราพึงสนับสนุนให้คนไทยหันมามองเมืองไทยด้วยสายตาวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น
เลิกยกตนข่มท่าน รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวว่าเป็นประเทศเล็กๆ แถมยังเป็นประเทศเล็กๆ ที่ยังมีวิกฤตทางการเมืองเศรษฐกิจรุมเร้าอย่างค่อนข้างหนักหนาสาหัส
จะมากร่างว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ของอาเซียน สูงส่งกว่าทุกประเทศเพื่อนบ้าน แล้วเที่ยวไปดูถูกคนลาว คนเขมร คนพม่า อย่างที่ผ่านมาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ความน่าขำอีกประการหนึ่งคือ ในขณะที่คนไทยล้อเลียนแรงงานที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านเรื่องพูดไม่ชัด ดูถูกเขาว่าเป็นผู้ใช้แรงงาน มาอาศัยทำมาหากินอยู่เมืองไทย ปฏิบัติต่อเขาเป็นพลเมืองชั้นสอง
เราคนไทยก็ลืมไปเลยว่า คนเหล่านั้นอยู่เมืองไทยนานพอที่จะพูดภาษาไทยได้ดี รู้เรื่องเมืองไทย รู้จักวัฒนธรรมไทย รู้จักการเมืองไทย รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดูข่าว ดูละครไทย แต่คนไทยที่นั่งดูถูกเขา
สุดท้ายแล้ว พูดภาษาของประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่ได้สักภาษา ถามว่ารู้เรื่องการบ้านการเมืองของประเทศเพื่อนบ้านไหม ก็ไม่รู้ ถามว่ารู้จักวัฒนธรรมประเพณีอะไรของประเทศเพื่อนบ้านไหม ก็ไม่รู้ ถามว่า รู้จักอาหารของประเทศเพื่อนบ้านบ้างไหม ก็ไม่รู้
สรุปคือ ไอ้ที่นั่งดูถูกเขาไปวันๆ นี่ ไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย มีแต่เขาที่รู้จักเราดี พูดภาษาเราก็ได้ อ่านภาษาเราก็ได้
อันตรายของความ ignorance ในที่นี้คือ มันทำให้เราโง่แต่คิดว่าตัวเองฉลาด
ความ ignorance ที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องหนึ่งของคนไทยคือ มักทึกทักเอาเองว่า วัตรปฏิบัติใดๆ ก็ตามที่ปฏิบัติกันในเมืองไทยนั้นเป็นเรื่อง “สากล” หรือเป็นเรื่อง “ปกติ” ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง มันเป็นเรื่องที่ “ผิดปกติ” ในสายตาของสากลโลก
เช่น คนไทยมักทึกทักเอาเองว่า มนุษย์ทุกคนต้องมีศาสนา
ในขณะที่วิวัฒนาการของสังคมที่ก้าวเข้าสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่และเป็นประชาธิปไตยนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปลดแอกตัวเองออกจากการครอบงำของศาสนาและสถาปนารัฐฆราวาสขึ้นมาแทนที่
รัฐฆราวาส และการไม่มีศาสนาคือความ “ปกติ” ของสังคมสมัยใหม่ส่วนใหญ่ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อธิบายให้คนไทยเข้าใจยากที่สุดเรื่องหนึ่ง แม้แต่ในปีกประชาธิปไตยของไทยก็ไม่เคยสมาทานคุณค่านี้และไม่เคยเข้าใจความจำเป็นของรัฐฆราวาสต่อประชาธิปไตยเลย
ไม่เห็นความจำเป็นและคุณค่าของรัฐฆราวาสไม่พอ คนไทยยังชอบไปยัดเยียดความเป็นพุทธให้กับคนดังของโลก เช่น โยงไอน์สไตน์กับพุทธศาสนา
หรือล่าสุดที่มีการทำโควตแชร์กันในโซเชียลมีเดียว่า ปูตินนับถือพุทธศาสนา
อ่านแล้วงงมาก ว่า เออ ถ้าอยากโปรศาสนาพุทธ แน่ใจเหรือว่า ปูติน เป็นพรีเซ็นเตอร์ที่เราควรภูมิใจ?
แต่สำคัญกว่านั้นคือ ทำไมเราต้องเที่ยวไปตื่นเต้นว่า คนนี้ คนนั้น นับถือพุทธศาสนา?
เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาของโลกใครๆ ก็นับถือได้ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคนไทย ประเทศไทยอย่างเราสักนิด
ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องภูมิใจกับเรื่องนี้จริงๆ ควรเป็นคนอินเดียดีกว่าไหม?
อย่างน้อย ก็เป็นประเทศต้นกำเนิดพุทธศาสนา
อาการเช่นนี้ ไม่เรียกว่า ignorance ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
เรื่องที่ประหลาดในสายตาชาวโลก แต่คนไทยนึกว่าเป็นเรื่องที่คนทั้งโลกเขาทำกันยังมีมาก เช่น การเข้าแถวเคารพธงชาติของเด็กนักเรียนตอนเช้า หรือแม้กระทั่งการเปิดเพลงชาติตอนแปดโมงเช้า หกโมงเย็นแล้ว เราต้องหยุดยืนตรง
การมีเครื่องแบบนักเรียน นักศึกษา เพราะโดยทั่วไปแล้ว โรงเรียนที่มีเครื่องแบบโดยมากจะเป็นโรงเรียนเอกชน (ถือเป็นทางเลือกของนักเรียนเอง) แต่โรงเรียนรัฐสำหรับคนทั่วไป จะยืนอยู่บนหลักการไม่มีเครื่องแบบ เพราะถือว่าเป็นภาระอันไม่จำเป็น
ทว่า สำหรับชาว ignorance แห่งประเทศไทย การไม่มีเครื่องแบบนักเรียน นักศึกษา ถือเป็นหายนะของประเทศชาติ
เรียกได้ว่า คนไทยภายใต้ขอบฟ้าครึ่งวงกลมของกะลา เราเกิดและโตมากับการมีเครื่องแบบ บ้าเครื่องแบบ เห่อเครื่องแบบ รักเครื่องแบบ หลงไหลในเครื่องแบบ จนนึกไม่ออกว่า เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไรหากปราศจากเครื่องแบบ
และนักเรียน เยาวชนของเรา จะต้องเสียผู้เสียคน เรียนหนังสือไม่ได้ เสียเด็กแน่นอนหากไม่มีเครื่องแบบ และมันจะยิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น หากโรงเรียนไหน ครูคนไหนสามารถสร้างกฎเกณฑ์เคร่งครัด เอากันถึงกับวัดความยาวประโปรง ความยาวถุงเท้า เครื่องแบบก็ยิ่งทวีความสำคัญ เรายิ่งรู้สึกว่ามันคือเครื่องมือในการพยุงสังคมของเราเอาไว้ไม่ให้แตกสลาย
สำหรับคนไทย เครื่องแบบคือที่ยึดเหนี่ยวทางใจอันสำคัญยิ่ง และเราน่าจะเป็นประเทศที่มีเครื่องแบบในไวยากรณ์นี้หลากหลาย ฟุ่มเฟือยสำหรับหลายวาระโอกาสที่สุดประเทศหนึ่ง
ลำพังเครื่องแบบนักเรียน ยังแบ่งออกเป็นเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด เปลี่ยนเข็มขัด ผ้าพันคอ สีของถุงเท้า – และโดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเลยว่า เราเสียเวลา เสียพลังงานไปกับความรุ่มรวยทางเครื่องแบบในแต่ละช่วงชีวิตของเราสักเท่าไหร่
เมื่อโตขึ้นเราก็ไม่เคยตั้งคำถามอีกนั่นแหละว่า ทำไมข่าวในเมืองไทยจึงเต็มไปด้วยคนใส่เครื่องแบบ!
ครูก็ใส่เครื่องแบบ ข้าราชการก็ใส่เครื่องแบบ นักการเมืองท้องถิ่นก็มีเครื่องแบบ นักการเมืองก็มีเครื่องแบบสำหรับออกงาน ทหาร ตำรวจ ใส่เครื่องแบบเต็มยศ มีเข็ม มีหมวก อลังการ มากอย่างที่เราไม่เคยเห็นในข่าวประเทศอื่นเลย
ไม่เชื่อลองเปิดดูข่าวประเทศอื่นๆ ดู แล้วลองนับว่า เราเห็น “เครื่องแบบ” ในรายการข่าวประเทศอื่นกี่ครั้ง? และเราเห็น “เครื่องแบบ” ปรากฏในข่าวไทยกี่ครั้ง กี่แบบ จากกี่อาชีพ
การที่เราไม่เคยฉุกใจคิด ไม่เห็นว่ามันแปลก เผลอๆ ไปเห็นว่าประเทศอื่นแปลก เช่น เอ๊ะ ทำไมเครื่องแบบตำรวจประเทศอื่นดูไม่เท่ ไม่น่าเกรงขามเท่าของบ้านเราเลย – ก็อาจนับเป็นความ ignorance แบบหนึ่งได้เหมือนกัน
การปล่อยให้ความ ignorance แบบนี้ดำเนินไปโดยปราศจากการท้าทาย ในท้ายที่สุด มันจะทำให้สังคมนั้นๆ เป็นสังคมอนุรักษนิยม ยากจะเปิดรับความคิดใหม่ โลกทรรศน์ใหม่
นั่นแปลว่า มันจะเป็นสังคมที่ยากจะผลักดันให้เกิดความเจริญก้าวหน้า เป็นสังคมที่ไม่มีไอเดียใหม่ ไร้ความคิดสร้างสรรค์ ไร้จินตนาการ ไม่เชื่อเรื่อง “ความเป็นไปได้” แต่ศรัทธาต่อ “ความเป็นไปไม่ได้” (เช่น เรามีแนวโน้มจะเชื่อว่าปัญหารถติดในกรุงเทพฯ เป็นเรื่องที่ไม่มีวันจะแก้ไขได้ ดังนั้น เราจึงเลือกทำใจ มากกว่าเลือกผลักดันให้เกิดการแก้ไขอย่างไม่ลดละ)
ที่สุดของภาวะ ignorance คือ มันสร้างความดักดานต่อเนื่อง เป็นวงจรอุบาทว์
และหากถูกซ้ำเติมด้วยสภาวะทางการเมืองที่ขาดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ ทับถมด้วยระบบการศึกษาแบบเน้นการล้างสมอง สุดท้าย ภาวะ ignorance นี้จะฉุดรั้งความเจริญก้าวหน้าที่สังคมนั้นพึงมี และยิ่งฉุดรั้งให้การปลดปล่อยตนเองออกจากวงจรการล้างสมองและการถูกปกครองภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จให้เป็นได้ยากยิ่งขึ้น หรือท้ายที่สุดอาจจะเป็นไปไม่ได้เลย
และในระยะประชิดกว่านั้น ฉันไม่แน่ใจว่าคนไทยรู้หรือเปล่าว่าตัวเอง ignorance ดังนั้น จึงไม่ต้องพูดถึงการออกจากความ ignorance เพราะถ้าไม่รู้ ก็คงไม่เห็นว่ามันจำเป็นต้องออก