หมาป่ารายที่ 2 : วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

คงไม่ใช่พฤติกรรมที่จะมายกย่องกันเป็นฮีโร่ได้ เพราะมีการลอบวางระเบิด มีผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับบาดเจ็บ มีทรัพย์สินเสียหาย เพียงแต่”ลุงวัฒนา ภุมเรศ” อดีตวิศวกร กฟผ. วัย 62 ปี ผู้ต้องหาลอบวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และระเบิดอื่นๆ อีกรวม 6 ลูก

ต้องนับเป็นคนที่กระทำความผิด ไปตามความคิดความเชื่อ ไม่ใช่เรื่องของการจ้างวาน หรือถูกใครหลอกมาให้ก่อการใดๆ

ทำด้วยตัวเองล้วนๆ เพื่อเป้าหมายอุดมการณ์ต่อต้านการรัฐประหาร

“แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังยอมรับว่า เป็นพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุที่เป็นรายย่อยและทำแบบอิสระ หรือเรียกว่าโลน วูล์ฟ (Lone Wolf)”

ในส่วนของตำรวจทหารที่ดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ ก็ยังไม่พบหลักฐานว่าจะไปเชื่อมโยงถึงใครได้อีก

ไม่มีท่อน้ำเลี้ยง ไม่มีใครชักใย

“กระนั้นก็ตาม เมื่อกระทำผิดกฎหมาย มีการวางระเบิดจนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก คงโดนลงโทษตามกฎหมายอย่างหนักหน่วงไม่น้อย”

ทฤษฎีโลน วูล์ฟ นั้น มีการนำมาอธิบายเหตุก่อการร้ายที่ระยะหลังเกิดขึ้นถี่ยิบในยุโรป เพราะพบว่าหลายครั้งลงมือโดยตัวบุคคล ที่ทำไปตามความคิดความเชื่อของตัวเอง ไม่ได้สังกัดขบวนการอะไรแน่นอน

วันนี้เริ่มมีการนำมาพูดถึงในบ้านเรากันแล้ว อันเนื่องจากการลงมือวางระเบิดในปี 2550 รวม 3 ลูก แล้วมาก่อเหตุในปีนี้อีก 3 ลูก ของลุงวัย 62 ปี

แต่ลุงวัฒนา ย่อมมิใช่โลน วูล์ฟ รายแรกในบ้านเรา

“หลายคนต้องนึกย้อนไปถึงลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ที่เคยขับรถแท็กซี่พุ่งชนรถถัง เพื่อประท้วงการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549”

จากนั้นยังไปผูกคอตายซ้ำ เพื่อยืนยันแนวคิดอุดมการณ์ต่อต้านรัฐบาลปฏิวัติ

แถมยังมีการบอกเล่าประวัติของลุงนวมทองด้วยว่า เคยเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เดียวกันกับลุงวัฒนา ที่ตกเป็นผู้ต้องหาวางระเบิด 6 ลูกนั่นเอง

จากลุงนวมทอง ที่จากลาโลกไปแล้ว

มาจนถึงลุงวัฒนา รายล่าสุด ที่กำลังจะต้องโดนดำเนินคดี จากเหตุระเบิดถึง 6 หน

น่าจะเป็นบทเรียนให้คณะทหาร ได้ขบคิดศึกษาว่า ยังมีคนที่มีแนวคิดต่อต้านการรัฐประหารด้วยวิธีการสุดโต่งอยู่ เพื่อจะได้เรียนรู้และคลี่คลายบรรยากาศการเมือง เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอีกทาง

จริงอยู่การที่ตำรวจโชว์ฝีมือจับกุมได้ ย่อมทำให้ผู้คิดจะก่อเหตุรายอื่นๆ ต้องยั้งคิด

แต่อีกด้าน คสช. ก็ต้องเรียนรู้ด้วยเช่นกัน!

ตามคำให้การของนายวัฒนาต่อหน้า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ที่คุมการสืบสวนคดีนี้เอง และนำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักของนายวัฒนาเอง พร้อมด้วย พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้ยอมรับสารภาพตั้งแต่แรกแล้วว่า เป็นผู้วางระเบิดโรงพยาบาลเอง รวมถึงระเบิดหน้ากองสลากเก่า และหน้าโรงละครแห่งชาติ ซึ่งเป็นชุดเดียวกันด้วย

ไม่เท่านั้น ตำรวจมีหลักฐานอยู่แล้วว่า วัสดุอุปกรณ์ชุดนี้ เคยใช้วางระเบิดเมื่อปี 2550 รวม 3 ครั้ง ซึ่งนายวัฒนาก็ยอมรับโดยดี

โดยอธิบายว่า ในปี 2550 นั้น เพื่อต่อต้านการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ของ คมช.

ส่วน 3 ลูกหลังในปี 2560 เพื่อต่อต้านการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

“ไปจนถึงความแค้นเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงเมื่อปี 2553 โดยเฉพาะกรณี 6 ศพวัดปทุมวนาราม!”

ในการกล่าวสารภาพต่อหน้าสื่อมวลชน ลุงวัฒนายังได้อธิบายด้วยว่า

“เหตุระเบิดในปี 2550 และปี 2560 มีแรงบันดาลใจเหมือนกันทั้งหมด คือเป็นประชาชนคนธรรมดา ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ เพราะทำให้ประเทศชาติประสบความหายนะทางเศรษฐกิจ ตลอดจนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนก็ถูกลิดรอน

“ทุกครั้งที่ก่อเหตุผมพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้กระทบกับประชาชนธรรมดา และไม่อยากให้ผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ให้เป็นเพียงเชิงสัญลักษณ์ ต่อต้านรัฐบาลปฏิวัติ เพื่อส่งเสียงไปยังรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติว่าคนรากหญ้ามิได้ชื่นชมการกระทำของรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ””

“ยืนยันว่าทำคนเดียว ไม่มีเบื้องหลังฝ่ายการเมือง หรือบุคคลใดมาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ไม่มีใครให้เงินอุดหนุนด้วย เพราะต้นทุนทำระเบิดเพียงลูกละ 50 บาทเท่านั้น ไม่อยากให้เรียกว่าระเบิด แต่ให้เรียกว่าประทัดยักษ์ หากไม่ถูกจับ ก็ไม่ก่อเหตุอีกแล้ว เพราะที่บ้านตอนนี้ไม่มีระเบิดแล้ว มีเพียงแผงวงจรที่เอาไว้ทดสอบทางเทคนิคเท่านั้น”

“”ผมไม่ได้เกลียดทหาร รักทหาร แต่ไม่ชอบทหารบางคนที่ใช้ประชาชนเป็นฐานก้าวสู่อำนาจ ยอมรับว่าเคยชุมนุมทางการเมืองหลายครั้ง ทั้ง กปปส. และ นปช. ไปในฐานะประชาชนที่ต้องการฟังข้อมูลทุกด้าน เชื่อว่าหลังจากนี้รัฐบาลและประชาชนจะหันหน้าเข้าหากัน เพื่อแสวงหาความสงบสุขของบ้านเมือง””

ส่วนนาฬิการูปอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร นั้น นายวัฒนายอมรับว่า เป็นของตนจริง เป็นความชอบทางการเมืองส่วนตัว ตามสิทธิเสรีภาพที่พึงมี

ฟังคำกล่าวเหล่านี้แล้ว ชัดเจนว่า นายวัฒนาเข้าร่วมม็อบทุกสีเสื้อ ไม่ได้สังกัดฝ่ายไหน เพียงแต่จะไม่ยอมรับการรัฐประหารของทหารอย่างเด็ดขาด

การวางระเบิดปี 2550 เพื่อต่อต้านรัฐประหาร 2549 และเว้นมาอีกถึง 10 ปี จึงมาก่อเหตุใหม่ เพื่อต่อต้านรัฐบาล คสช. และระบายความคับแค้นเหตุการณ์ปี 2553

โดยทั้งหมดกระทำด้วยตัวเองไม่เกี่ยวกับใคร เพราะการประกอบวัตถุระเบิดที่ทำง่ายๆ ราคาถูก ใช้เงินแค่ครั้งละ 50 บาท ซึ่งเป็นประทัดยักษ์มากกว่าจะเรียกว่าเป็นระเบิด

นี่แหละต้องเรียกว่า ผู้ก่อเหตุอิสระ หรือโลน วูล์ฟ ตัวจริง

ส่วนเบื้องหลังความสำเร็จของตำรวจในการจับกุมลุงวัฒนาเป็นผู้ต้องหานั้น ถือเป็นความพยายามอย่างมุ่งมั่นของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. โดยอาศัยประสบการณ์ที่ทำได้สำเร็จจากการจับกุม 2 อุยกูร์ ในคดีระเบิดที่ศาลพระพรหม ราชประสงค์ เมื่อปี 2558

จึงลงมาคุมการสืบสวนคดีระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ด้วยตัวเอง และเริ่มจากการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิด อันเป็นเคล็ดลับที่สำเร็จมาแล้วในคดีอุยกูร์

เริ่มจากตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบมีบุคคล 12,000 คน ก่อนไล่ตรวจสอบเหลือ 100 คน และ 10 คนตามลำดับ โดยในกล้องวงจรปิด 21 ตัวบริเวณโรงพยาบาล พบภาพชายต้องสงสัยสูงวัยถือถุงพลาสติกภายในบรรจุวัตถุมีน้ำหนัก และร่มสีดำ 1 คัน ลักษณะมีพิรุธ เดินเข้ามาในโรงพยาบาลทางด้านหน้า ใช้เวลาเพียง 1 นาที 20 วินาที เข้าไปในอาคารเฉลิมพระเกียรติ และอยู่ในห้องวงษ์สุวรรณ 1 ชั่วโมง 33 นาที ก่อนออกจากห้องดังกล่าวก่อนเกิดเหตุระเบิดเพียง 10 นาที โดยถือถุงพลาสติกต้องสงสัย แต่ไม่มีวัตถุมีน้ำหนัก เหลือเพียงร่มสีดำ 1 คัน

“เมื่อได้บุคคลที่เข้าข่าย 1 ราย จึงมีการไล่กล้องวงจรปิดนอกโรงพยาบาล ทำให้เห็นเส้นทางการเดินทาง และแหล่งพักพิง”

จนพบจากกล้องก่อนวันเกิดเหตุ 1 วัน เห็นการนำรถเก๋งไปจอดที่ กฟผ. แล้วไปยังคอนโดฯ ใกล้เคียง จนกระทั่งในวันเกิดเหตุ 22 พฤษภาคม 2560 จึงเดินทางมาที่โรงพยาบาลพร้อมอุปกรณ์ข้าวของในมือ เสร็จแล้วเดินทางกลับไปด้วยเส้นทางไหน เจ้าหน้าที่สามารถแกะรอยได้ครบถ้วน

“จนนำมาสู่การเข้าจับกุมได้ในที่สุด”

จากคดีระเบิดศาลพระพรหม มาจนถึงคดีระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ซึ่งสามารถเชื่อมถึงระเบิดอีก 5 ลูกได้อย่างทันควัน เพราะมีข้อมูลเป็นฐานเดิมอยู่แล้ว

จึงเป็นผลงานโบแดงของตำรวจยุคนี้

“เป็นการยืนยันว่าแม้คดีระเบิดจะจับกุมได้ยากที่สุด แต่ก็สามารถทำได้สำเร็จ”

แน่นอนว่าคงจะหยุดเสียงระเบิดไปได้อีกพักใหญ่

แต่ คสช. ก็ต้องเร่งคลี่คลายการเมืองโดยรวม เพื่อไม่ให้มีหมาป่าอิสระรายใหม่เกิดขึ้นมาอีก

ที่สำคัญระเบิดการเมืองจะเกิดเฉพาะในช่วงการเมืองอึมครึมเท่านั้น!