ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | รักคนอ่าน |
เผยแพร่ |
เมื่อวันก่อนฉันได้มีโอกาสได้เข้าร่วมกับวงเสวนาว่าด้วยเราต่างมีภาวะซึมเศร้าในตัวเอง
คุณรู้สึกว่ามันเป็นที่นิยมในช่วงนี้ใช่ไหม? ฉันก็รู้สึกเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร น่าฟังดีที่เรื่องของสิ่งหนึ่งที่เคยดูแปลกแยกแปลกประหลาด ถูกเอามาล้อมวงนั่งพูดคุยกันได้สบายๆ
เราตั้งคำถามกันว่ามันเป็นอย่างไร มันมีอยู่จริงหรือไม่ เรารู้สึกอย่างไรกับมัน
หลายคำตอบที่ได้ฟัง ทำเอาฉันต้องมานั่งสำรวจตัวเอง
มีคำตอบหนึ่งที่ติดใจฉันเป็นพิเศษ เป็นคำตอบจากผู้ร่วมเสวนาคนหนึ่งว่าเขาไม่อยากกินยาไปตลอดชีวิต อยากยืนบนขาของตัวเองให้ได้โดยไม่ต้องพึ่งยา เขาเลยตัดสินใจลดยาเอง เพื่อจะพบว่านอกจากจะไม่ดีขึ้นแล้ว สุดท้ายเขาก็ต้องกลับไปกินยาซ้ำอยู่ดี
ตัดปัจจัยทางการเดินทางไปรับยา การเข้าถึงการรักษา ราคาที่ต้องจ่าย หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตออกไปก่อน
แล้วฉันก็หันมาถามตัวเองก็ได้คำตอบ
ว่าฉันไม่ได้เดือดร้อนกับการต้องพึ่งพิงอะไรบางอย่าง
มันเป็นความสุขสงบเหมือนกันนะ เวลาที่รู้ว่าถ้าเรา “ทำ/มี/กิน/ใช้” บางสิ่งบางอย่างแล้ว ส่วนอื่นๆ ในชีวิตจะสามารถดำเนินต่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่สะดุด
เหมือนชีวิตมีแผนสำรองเอาไว้หลายๆ แผนน่ะ
เราจะได้ไม่ต้องเอาจิตใจไปกังวลกับสิ่งที่อาจจะเกิดแต่ก็ยังไม่เกิด จะเกิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้าคิดไปว่ามันจะไม่เกิดแต่มันดันเกิดขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง
นั่นล่ะ ความรู้สึกของฉัน
มันเหมือนเสื้อชูชีพ ที่แค่เห็นก็อุ่นใจตั้งแต่ยังไม่ทันกางออกใช้ ทั้งที่พอถึงเวลาจริงๆ มันอาจจะรั่วก็ได้
แต่ก็ช่างมัน
แค่เห็นสีส้มผิดธรรมชาตินั่นเราก็เบาใจ
มีคนพูดกับฉันว่า, มีแฟนแล้วก็ไม่เศร้าแล้วสิ
ก็เศร้านะ ถ้ามองในความหมายว่าความเศร้าคืออาการหนึ่งของความป่วยไข้
เหมือนเจ็บคอก็ต้องไอ เป็นไข้ก็ต้องตัวร้อน
แต่การไอหรือตัวร้อนไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นอื่น
เราก็ยังเป็นเราเหมือนเดิม
เราไม่ได้อยากให้ใครมาเข้าใจมากขนาดนั้น
อาจจะฟังดูประหลาด แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด เราทุกคนล้วนแตกต่างกัน แล้วทำไมเราจะต้องคาดหวังความเข้าอกเข้าใจจากทุกคนบนโลก
แค่มีคนบางคนก็พอแล้ว
ฉันอธิบายความเศร้าของฉันได้ แต่ฉันรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะฟัง
และสำหรับบางคนที่ไม่ได้ต้องเล่าอะไรให้ฟังมากมาย ก็สัมผัสความเศร้าบางอย่างของฉันได้โดยไม่พยายามไปแก้ไขมัน
มันคือส่วนหนึ่งของฉัน มันคือสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นฉัน
อะไรที่มากเกินกว่าที่ตัวฉันชอบ ฉันได้ลงมือจัดการกับมันแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่คือสิ่งที่ฉันสบายใจกับมันและไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง
ฉันไม่อยากเรียก”ยอดมนุษย์ดาวเศร้า”ว่าเป็นการ์ตูน เพราะสำหรับฉัน หนังสือเล่มนี้มีความเป็นนิยายที่เล่าเรื่องโดยภาพมากกว่าถ้อยคำ
บางรูปไม่ได้เล่าอะไร ไม่มีประโยคอยู่ในนั้น แต่เล่าถึงความเป็นไปและเกี่ยวพันของผู้คนได้มากมาย
เราต่างมีความเศร้าในแบบของตัวเอง บ้างก็อยากเยียวยา บ้างก็หวาดกลัว บ้างก็เดินเคียงกันไป
วันก่อนมีคนถามฉันว่า เขาอยากเลิกกับคู่รักที่ป่วยด้วยโรคเดียวกับฉัน มันจะเป็นอะไรไหม
และอีกวันก่อนก็มีคนถามคนรักของฉันว่า ถ้าจะต้องเลิกร้างกันไป ฉันจะเสียใจขนาดไหน จะรับมือกับความเศร้านั้นได้อย่างไร
ทั้งสองคำถามฉันให้คำตอบได้คล้ายกัน
คือเป็นสิ ใครก็ต้องเสียใจ
แต่ชีวิตของเราก็คือของเรา
ถ้าคนมันจะก้าวต่อไปด้วยกันไม่ได้แล้ว มันก็แค่นั้น
ความเสียใจไม่ได้ทำให้อะไรอะไรกลับมาเหมือนเดิม
การอยู่กันไปด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวว่าเพราะกลัวอีกฝ่ายแบกรับความเศร้าไม่ไหวนั้น ฉันว่ามันน่าเศร้ากว่าการเป็นอดีตของกันและกันเสียอีก
เราต้องมานั่งเศร้า เพราะทนเห็นอีกฝ่ายเศร้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ
ไม่นะ, ฉันว่านั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง
เรายังต้องอยู่ ต้องเดินต่อไป และหาวิธีรับมือกับตัวเองบนโลกใบนี้ให้ได้
ไม่ว่ามันจะเศร้าเพียงใดก็ตาม