บทความพิเศษ : ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ เรียนรู้คุก (7) ขังซอย

ตอน 1 2 3 4 5 6

 

ใครอ่อนแออยากตายก็ตายไป แต่ขึ้นชื่อว่านักโทษแล้ว ส่วนใหญ่มักเป็น ดาวโจร ดาวโกง ดาวร้าย

เมื่อนำนักโทษในความผิดสารพัดคดีเข้ามาขังรวมกันจึงมักเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การแย่งอาหาร ถึงขั้นใช้ช้อนฝนปลายแหลมเสียบคอกันมาแล้ว

นักโทษในคุกมีการแบ่งกลุ่มกันเองออกเป็นบ้านๆ เช่น บ้านลาดพร้าว บ้านบางซื่อ บ้านอีสาน บ้านใต้ อันมีความหมายถึงการเข้าไปสังกัดในแต่ละก๊วน

แต่ละบ้านจะมี “ซามู” เป็นมือปืน (ย่อมาจาก ซามูไร หมายถึง ผู้รับหน้าที่เป็นขาลุย ด่านหน้า หากบ้านที่สังกัดมีเรื่อง ซามูจะเป็นคนออกหน้ารับให้)

โดยทั่วไปบ้านหนึ่งจะมีสมาชิกตั้งแต่หลักสิบขึ้นไปจนถึงหลักร้อย อยู่ที่ช่วงไหนบ้านไหนมีคนขึ้นมาก ก็จะเรียกกันว่าบ้านใหญ่

“พ่อบ้าน” หรือหัวโจกของบ้านจะเป็นที่ยอมรับนับถือของเด็กๆ ในแดนนั้น

เมื่อมีบ้านแล้ว สมาชิกในบ้านจะต้องมีอาวุธ โดยมากมักใช้จำพวกเหล็กแหลมหรือเหล็กฉาบ

ของพวกนี้เอามาจากไหน?

อย่าลืมว่าในแต่ละแดนจะมีกองงานที่นักโทษต้องสังกัด ไม่ว่าจะเป็น งานโยธา งานไม้ งานปูน งานซ่อมบำรุง ที่มักจะมีเศษเหล็กหลงเหลือนำมาดัดแปลงฝนให้แหลม เสริมด้ามให้จับถนัดเวลาใช้งาน

รองลงมาเป็นพวกแปรงสีฟันฝนปลาย หรือช้อนฝนปลายกับพื้นคอนกรีต

ของเหล่านี้เป็นวัสดุที่นำมาใช้เป็นอาวุธได้ทั้งสิ้น

ระบบบ้านในคุกจะเกิดขึ้นอยู่ทุกแดนในทุกเรือนจำ เมื่อมีนักโทษเข้ามาใหม่จะมีแมวมองไปทาบทามให้สังกัดในแต่ละบ้าน

เมื่อมีบ้านจะรู้สึกปลอดภัย มีอาหารกิน แน่นอนว่านักโทษที่ถูกดึงเข้ามาต้องมีญาติ มีฐานะ หรืออาจมีฝีมือใจถึง เพราะการกินอยู่ด้วยกันภายในบ้านหมายถึงการยอมรับและแบ่งปันเวลามีอาหารหรือมีเงินโอนมาจากญาติ ร่วมกันกิน ร่วมกันใช้ ช่วยกันดูแล

เวลาไปทำงานในกองงานต่างๆ จะถูกจ่ายยอดงานน้อยลง

นักโทษทั่วไปจึงจำเป็นที่จะต้องสังกัดบ้าน

นักโทษที่อยู่อย่างเอกเทศ หรืออยู่กันสองคนไม่ยุ่งกับใครก็พอจะมีอยู่บ้าง

แต่นั่นหมายความว่าเวลามีเรื่องหรือถูกกลั่นแกล้งจะไม่มีใครช่วย

 

พอมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันที ก็จะแบ่งเป็นบ้านใครบ้านมัน ยกพวกตะลุมบอนวุ่นวาย ผู้คุมไม่เข้ามาห้ามปรามเพราะมีกำลังคนน้อยกว่านักโทษ แต่จะใช้วิธีเรียกกำลังเสริมจากแดนอื่นๆ มาช่วยควบคุมสถานการณ์

เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้น ก็ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศชื่อบรรดาหัวโจกแต่ละบ้านให้หยุด หลังเหตุการณ์สงบจึงเรียกพ่อบ้านของแต่ละบ้านที่ตีกันมาสอบสวนหาต้นเรื่อง

บรรดาพ่อบ้านมักเอานักโทษที่ใกล้ปล่อย หรือซามูมาออกรับแทน เพราะรู้ว่างานนี้ต้องถูกลงโทษ “ขังซอย”

การสอบสวนหนีไม่พ้นการใช้วิธีข่มขู่ หรืออาจถึงขั้นใช้ไม้ตี ลักษณะของไม้จะเป็นกระบองยาวประมาณ 1 เมตร ตรงส่วนปลายหุ้มด้วยยางพอกหนาๆ ให้เป็นหัวคล้ายไม้ตีระนาด

กระบองนี้เรียกว่า “ก๊อง” การใช้ก๊องตีไม่ใช่ลักษณะการตีแบบครูตีนักเรียนที่ใช้ไม้หวดก้น แต่เขาจะให้นักโทษนอนคว่ำหน้ากับพื้น แล้วจับไม้ก๊องเต็มสองมือยกหวดเข้ากลางหลังเต็มแรง นักโทษจะร้องดิ้น บางคนเลือดทะลักออกปาก

แค่ 2 -3 ทีก็ยอมคายชื่อผู้เกี่ยวข้องออกมาหมด

ไม้ก๊องจะไม่ทำให้ปรากฏบาดแผลภายนอก แต่ภายในนั้นรับประกันได้ว่าถึงขั้นปอดฉีก ม้ามแตก กันมานักต่อนัก

เมื่อได้ตัวผู้กระทำความผิดก็จะนำไป “ขังซอย”

ห้องขังซอยเป็นห้องขังขนาดเล็ก พื้นที่ประมาณ 2 x 2 เมตร ภายในมีส้วมนั่งยองไม่กั้นบล็อก พร้อมบ่อน้ำเล็กๆ

การขังซอยเป็นการขังเดี่ยวแยกออกจากห้องขังรวมทั่วไป ห้ามติดต่อนักโทษคนอื่น

พูดง่ายๆ ว่าตัดขาดจากสังคมคุก ทั้งวันทั้งคืนไม่เจอใคร ถึงเวลามีคนนำอาหารมาส่ง

ระยะเวลาขังซอยขึ้นอยู่กับความผิด บางคนอยู่ในนั้นสูงสุดถึง 3 เดือน

นักโทษที่ถูกขังซอยต้องมีความอดทนสูง เพราะไม่มีเพื่อนให้พูดคุย ไม่มีการเยี่ยมญาติ ตัดขาดการติดต่อทุกชนิด

โดยปกติมนุษย์เป็นสัตว์สังคม แม้จะถูกขังในคุกก็มีสังคมคุก ได้พูด ได้คุย ดูทีวี อ่านหนังสือ

แต่การขังซอยจะต้องอยู่กับตัวเองในห้องแคบๆ เมื่อไม่ได้พูดกับใครหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน จะเริ่มซึม ตาเหม่อลอย มองเพดาน

บางคนถึงขนาดบ่นพึมพำคนเดียว ถือเป็นความทรมานขั้นสูงสุด

หากให้นักโทษเลือกระหว่าง ถูกขังซอย กับ ถูกไม้ก๊องตี ร้อยทั้งร้อยยอมถูกตียังดีเสียกว่า

เมื่อออกจากห้องขังซอยจะมีผิวขาวซีดเพราะไม่โดนแดดโดนลม ผมเผ้าหนวดเครายาวรุงรัง น้ำหนักลด

แรกๆ เซื่องซึม แต่ต่อมาพูดไม่หยุด เมื่อกลับเข้าไปในบ้านจะได้รับการเชิดชูเป็นฮีโร่

เหมือนนักรบที่เพิ่งกลับมาจากสงคราม เพิ่มดีกรีความเก๋าให้กับตัวเอง

 

การลงโทษทางวินัยของเรือนจำมีตั้งแต่โทษเบา คือ บันทึกว่ากล่าวตักเตือน งดเยี่ยมญาติ 3 เดือน ตัดชั้น ตัดวันลดโทษ ไปจนถึงโทษสูงสุดขังซอย 3 เดือน

การขังซอย ใช้ลงโทษนักโทษที่กระทำความผิดวินัยรุนแรงทั้งการทะเลาะวิวาท มีสิ่งของต้องห้าม เช่น โทรศัพท์มือถือ อาวุธ ยาเสพติด

แต่บางคนถูกขังแล้วขังอีกไม่เข็ดหลาบ พอปล่อยออกมาก็ไปสร้างเรื่องทะเลาะวิวาทใหม่ อยู่ในห้องขังซอยมากกว่าห้องขังรวมเสียด้วยซ้ำ

ครั้งหนึ่งผมเคยเห็นสวนสัตว์จับลิงที่มีอุปนิสัยชอบกัดทำร้ายตัวอื่น แยกจากฝูงไปขังเอาไว้ต่างหาก

คิดดูแล้วชีวิตนักโทษก็ไม่ต่างจากสัตว์

ระบบราชทัณฑ์ของไทยน่าจะมีวิธีการที่พัฒนาสร้างสรรค์ได้ดีกว่านี้

การจับมนุษย์ไปขังซอยเหมือนสัตว์ไม่ได้ทำให้มีอะไรดีขึ้น

กลับยิ่งไปเพิ่มความเก๋าให้กับบรรดานักโทษเจนคุกเข้าไปอีก

คดีหมื่นปี

ลัก จี้ ชิง ปล้น ข่มขืน ยาเสพติด นักโทษสารพัดคดีที่ผมพบระหว่างติดอยู่ในคุก เรียกได้ว่าเป็นสถานที่รวมดาวโจร

บางคนแค่เห็นบุคลิกหน้าตาก็รู้สึกแล้วว่าส่อแวว เพราะสักลายทั้งตัวลามไปจนถึงหางคิ้ว

แต่มีนักโทษอีกประเภทที่ผมว่าน่ากลัวกว่า เข้าทำนองที่เขาบอก “อย่าตัดสินคนแค่ภายนอก”

ทำไปทำมาไอ้พวกสักลายพร้อยบางคนก็ทำแอ็กอาร์ตไปอย่างนั้น

แต่นักโทษประเภทที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ดูกันเฉพาะโทษที่ศาลตัดสิน ฟังแล้วคุณอาจสะดุ้งโหยง ว่าติดนานขนาดนี้เกิดใหม่อีกสิบชาติร้อยชาติก็ยังใช้โทษไม่หมด

กว่า 80% ของนักโทษในคุกจะมีรอยสักตามร่างกายไม่มากก็น้อย แต่นักโทษประเภทนี้ไม่มีรอยสักให้เห็นเลยแม้แต่รอยเดียว

ซ้ำยังมีบุคลิกหน้าตาน่าเชื่อถือเหมือนพ่อค้า นักวิชาการ นักธุรกิจ ดูมีการศึกษาสูงระดับปริญญาตรี ปริญญาโท

บางคนใส่แว่นดูภูมิฐาน หากพบเจอข้างนอกคนมักให้ความไว้วางใจ

และไม่คิดเลยว่าจะเป็นนักโทษอยู่ในคุก

เช่น นายต้อม ผมพบครั้งแรกคิดว่าเป็นอาจารย์ เพราะเป็นคนมาดนิ่ง พูดจามีหลักการ แต่ติดคุกในข้อหาฉ้อโกงประชาชนด้วยธุรกิจเครือข่ายขั้นบันได

นายต้อมทำธุรกิจระดมทุนคล้ายๆ สารพัดแชร์ทั้งหลายในอดีตโดยไม่มีตัวสินค้าอยู่จริง ให้ผลตอบแทนเป็นจำนวนเงินสูงเพื่อล่อตาล่อใจ

อย่างว่าล่ะครับ ประเทศเราแมลงเม่าเยอะ คนอยากรวยทางลัด จำนวนเหยื่อที่เข้ามาอยู่ในวงจรของนายต้อมจึงไม่ใช่หลักสิบหลักร้อย แต่เป็นหลักพันหลักหมื่นราย

นายต้อมเป็นคนพูดจาโน้มน้าวเก่งอย่างกับนายหน้าขายประกันหรือขายตรงแบบนั้น

เหยื่อที่หลงเข้ามาช่วงแรกๆ จะได้รับผลตอบแทนสูงลิ่วจนน่าเหลือเชื่อ จึงไปชักชวนคนอื่นให้มาร่วมลงทุนด้วย มีการจัดประชุมสัมมนาในโรงแหรมหรู เชิญคนมีชื่อเสียงที่ประสบความสำเร็จในเครือข่ายอาจเป็น ดารา หมอ นักธุรกิจ หรือคู่สามีภรรยาที่มีบ้านใหญ่โตระดับ 20-30 ล้าน มีรถซูเปอร์คาร์ เที่ยวต่างประเทศเป็นว่าเล่น มาเล่าให้เหยื่อใหม่ๆ ฟังว่าประสบความสำเร็จอย่างไร

โน้มน้าวจนบรรดาคนที่ไม่เคยสนใจเริ่มสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกเพราะอยากมีอย่างเขา ไหนจะรายได้เดือนหนึ่งเป็นแสนเป็นล้าน นั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำงานประจำ เป็นเจ้านายตัวเอง เหนื่อยเฉพาะช่วงแรก

หลังจากนั้นสบายไปตลอดชีวิต

 

เมื่อได้สมาชิกใหม่เพิ่ม นายต้อมก็เอาเงินจากคนเหล่านี้มาจ่ายให้กับสมาชิกเก่า หมุนไปแบบนี้จนสุดทางแล้วไปตั้งเครือข่ายใหม่อีก

แต่พอหาเงินมาให้สมาชิกไม่ทัน เครือข่ายเริ่มตาสว่างคิดได้ว่าถูกหลอก จึงแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง

เมื่อมีผู้เสียหายมากกว่า 5 คน จึงกลายเป็นคดีฉ้อโกงประชาชน ตำรวจรวบรวมหลักฐานส่งฟ้อง

ซึ่งร้อยทั้งร้อยคดีพวกนี้ไม่รอดครับ สำนวนหนาสูงเท่าเอว ผู้เสียหายเป็นหมื่นคน

ส่วนผู้ต้องหาเป็นร้อยคน แถมประกันตัวไม่ได้ต้องอยู่ในคุกระหว่างสู้คดี

และเนื่องจากคดีเกี่ยวพันกับคนจำนวนมาก รายละเอียดสำนวนจึงเยอะ ต้องใช้เวลาสืบพยานเป็นเวลานาน

บางคดีส่งไปสืบกันถึงต่างจังหวัดอีกเพราะผู้เสียหายหรือพยานมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด

นายต้อมและคู่คดีจึงได้เดินทางท่องเที่ยว เพราะต้องไปขึ้นศาลแต่ละที่ ย้ายนิวาสสถานจากคุกในกรุงเทพฯ ไปคุกต่างจังหวัดทั่วไทย

แต่ละที่อาจอยู่เป็นเดือนหรือยาวไปถึงสองปี ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เสียหาย

บางครั้งพยานไม่มาก็ต้องเลื่อน เมื่อเลื่อนนายต้อมก็ต้องนอนรออยู่ในคุก เช้าไปศาล เย็นกลับเรือนจำ ทำแบบนี้อยู่หลายปี

จะประกันตัวศาลก็ไม่อนุญาตเพราะอัตราโทษสูง เกรงว่าจะหลบหนี

ท้ายสุดเมื่อศาลตัดสินท่านคิดเป็นกรรม ทำผิดหนึ่งครั้งลงโทษหนึ่งกระทง เรียกว่า กรรมหนึ่ง ถ้าทำผิด 100 กรรม กรรมละ 1 ปี ก็เท่ากับโทษ 100 ปี

ของนายต้อมมีผู้เสียหายแจ้งความเป็นจำนวนทั้งสิ้น 2,000 กว่าคน กว่าจะสืบพยานเสร็จใช้เวลา 5 ปี

เมื่อศาลตัดสินโทษคดีฉ้อโกงประชาชนมีอัตราโทษ 1-5 ปี นายต้อมโดนโทษหนักสุด 5 ปี

คูณจำนวนกรรมกว่า 2,000 กรรม รวมทั้งสิ้นต้องติดคุกเป็นจำนวนหมื่นกว่าปี

เวลาฟังคำพิพากษาบางคนถึงกับซึมไปเลยเพราะตายแล้วฟื้นมาไม่รู้กี่ชาติถึงจะติดครบ

แต่เนื่องจากคดีทำนองนี้ กฎหมายให้จำคุกสูงสุดได้ไม่เกิน 20 ปี โทษของนายต้อมจึงอยู่ที่ 20 ปีไม่ขาดไม่เกิน นักโทษในคุกเรียกคดีแบบนี้ว่า “คดีหมื่นปี”

 

ถึงอย่างนั้นก็ตาม แม้ศาลจะตัดสินเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว นายต้อมก็ยังยืนยันหัวชนฝาว่าแกไม่ผิด แถมยังเก็บอัลบั้มรูปบ้านหรู รถซูเปอร์คาร์ เอาไว้

พอนักโทษใหม่ๆ เข้ามาเห็นแกหน้าตาท่าทางน่าไว้วางใจก็เข้าไปคุย จึงไม่พ้นจะถูกคุยให้ฟังเรื่องธุรกิจในอดีตอันรุ่งโรจน์ที่เคยทำ ยืนยันว่าทำถูกต้องให้ผลตอบแทนสูง

บางครั้งเขียนแผนธุรกิจลากโยงเส้นวุ่นวายไปหมด

สุดท้ายเปิดอัลบั้มรูปให้ดูความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่าจนตอนนี้อัลบั้มเปื่อยแล้วเปื่อยอีก สีในรูปจางลงไปทุกที ใครต่อใครรู้ทันแกไปหมด

ปัจจุบันนายต้อมยังใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำอย่างมีความหวัง เพราะหากปีใดมีอภัยโทษอาจติดคุกเพียง 7-8 ปี ก็ได้กลับบ้านแล้ว

ผมลืมถามแกว่า ถ้าออกไปได้จะทำมาหากินอะไร ใครอยากรวยทางลัดระวังตัวไว้หน่อยก็แล้วกัน