บทความพิเศษ : ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ เรียนรู้คุก (6) ในค่ำคืนที่แสนยาวนาน

ตอน 1 2 3 4 5

สําหรับนักโทษอัตราสูงถึงตลอดชีวิตที่อยู่ในเรือนจำคลองเปรมหรือบางขวาง จะถูกคุมขังอยู่ในห้องเล็กขนาด 2 x 3 เมตร เพดานสูง 2.2 เมตร ห้องละ 4 คนเป็นอย่างต่ำ

แต่สำหรับที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร สภาพอาคาร 2 ชั้น ด้านบนมีห้องขัง 10 ห้อง ขนาด 4 x 12 เมตร

ภายในห้องมีบล็อก ขนาด 1 x 1 เมตร กั้นด้วยอิฐสูง 1 เมตร จำนวน 1 บล็อก พร้อมด้วยส้วมนั่งยองๆ และบ่อน้ำเล็กๆ เอาไว้สาดราดตัวเวลาที่ทนอากาศร้อนยามค่ำคืนไม่ไหว

ภายในห้องเบียดเสียดยัดเยียดกันด้วยนักโทษที่นอนเรียงราย 50 คน

ตามทางเดินหน้าห้องขังก็ใช้เป็นสถานที่นอนจนเต็มเช่นกัน

สถานที่แห่งนี้ถูกตั้งชื่อว่า “เรือนนอน”

 

เมื่อได้เวลาเข้าเรือนนอนตอนบ่าย 3 โมง นักโทษสามารถนำของขึ้นไปกินได้เพียงแค่ น้ำ 1 ขวด นม 1 กล่อง ไม่อนุญาตให้นำบุหรี่หรืออาหารทุกชนิดเข้าห้องนอน

ด้วยระยะเวลาเนิ่นนานกว่า 15 ชั่วโมง ตั้งแต่บ่าย 3 โมง จนถึง 6 โมงครึ่งตอนเช้า ประกอบกับการบีบเวลาอาหารเช้า กลางวัน เย็น 3 มื้อ ให้กินเสร็จภายในเวลาที่อยู่ข้างนอก 8 ชั่วโมงกว่า

โดยแบ่งเป็นมื้อเช้า 07.00 น. มื้อกลางวัน 10.30 น. มื้อเย็น 13.30 น. เพื่อให้อาบน้ำและขึ้นเรือนนอนได้ทันเวลา เพราะผู้คุมจะออกเวรกลับบ้านในเวลา 4 โมงครึ่ง

จนบัดนี้ผมยังคิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใดเรือนจำจึงมีระเบียบพิเรนทร์ๆ ที่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์โดยการไม่อนุญาตให้กิน

เสียงตอบของเรือนจำฟังแล้วช่างแสนดี อ้างถึงความสะอาดและเป็นระเบียบ

ผมว่าบางทีผู้คุมน่าจะลองอดข้าวสัก 15 ชั่วโมงดูบ้าง

อ้อ ลืมไป ผู้คุมเขาไม่ชอบกินข้าวสักเท่าไหร่ เขาชอบยอดข้าวเสียมากกว่า

 

ก่อนขึ้นเรือนนอนจะต้องเข้าแถวเพื่อผ่านการตรวจของผู้คุม ตรวจค้นแบบเดียวกับช่องตรวจก่อนขึ้นเครื่องบิน

แต่ความหิวไม่เคยปรานีใคร นักโทษจึงมีวิธีการซุกซ่อนอาหารด้วยวิธีการต่างๆ นานา

เช่น นำข้าวใส่ถุงพลาสติก บีบอัดให้เละ ยัดเข้าไปในกางเกงใน ซ่อนไว้ในซอกก้น

ซึ่งแน่นอนว่าถ้าใครมาขอแบ่งกินด้วย เท่ากับต้องกินข้าวจากตูดเพื่อน

แต่ก็เอาเถอะ ยังดีกว่าทนหิว เพราะเรื่องห้ามกินยังไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล

ท่ามกลางสภาพความแออัดยัดเยียดในห้องนอน คุณจะได้ยินทั้งเสียงกรน เสียงละเมอ เสียงกัดฟัน เสียงไอ

ซึ่งในที่นี้ไม่ใช่การไอกระด๊อกกระแด๊กธรรมดา

แต่เป็นการไออย่างรุนแรง ต่อเนื่อง รับส่งกันเป็นทอดๆ

เปรียบเสมือนเสียงของมัจจุราช TB หรือที่เรียกว่าอาการวัณโรค ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งอยู่ในขั้นเริ่มต้น และอยู่ในขั้นแพร่เชื้อ

โลกภายนอก วัณโรค แทบจะพบได้ยาก แต่สำหรับภายในคุก กลับกลายเป็นโรคระบาดยอดฮิตที่ติดต่อกันเอาง่ายๆ ด้วยสภาพความแออัดในเรือนนอนนั่นเอง

อากาศที่ไม่มีช่องระบาย นักโทษนอนเรียงแถวติดกันจนไม่มีแม้กระทั่งทางเดิน

ทำให้ทุกคนเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว

 

คืนแล้วคืนเล่าที่จะต้องอยู่อย่างทรมาน ซ้ำซาก จำเจ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงตารางเวลา จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นสิบปี บางคนต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องนอนแบบนี้ถึง 20 ปี

มันเป็นนรกที่คุณต้องทำใจอยู่กับมันให้ได้หากคุณต้องการมีชีวิตรอดออกไป บางคนค่อยๆ เสียสติ จากตอนมาใหม่ๆ พูดจาเหมือนคนปกติ เล่นกีฬาร่างกายแข็งแรง

พออยู่ไปนานๆ เริ่มเซื่องซึม เหม่อลอย กินน้อย ไม่พูดจากับใคร หรือหนักๆ เข้าถึงขั้นพูดคนเดียว

เมื่อจิตใจอ่อนแอ ร่างกายก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย นอนไม่หลับ ถ่ายไม่ออก กระสับกระส่าย ทุรนทุราย

บางคืนอาจได้ยินเสียงร้องโหยหวน “ไม่ไหวแล้วๆๆ…”

เสียงร้องนั้นดังเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของนักโทษทุกคนที่ได้ยิน เพราะไม่รู้ว่าวันใดที่ตัวเองจะต้องร้องด้วยเสียงแบบนี้บ้าง

เมื่อทั้งร่างกายและจิตใจของคุณอ่อนแอ ย่ำแย่ ทรมาน ทางเดียวที่จะปลดปล่อยคุณออกจากความทุกข์คือการ “ฆ่าตัวตาย” ไม่มีเวลาไหน สถานที่ใดที่เหมาะสมไปกว่าห้องนอนอีกแล้ว เพราะเป็นเวลาเดียวที่จะมีโอกาสปลอดจากสายตาผู้คุมและนักโทษคนอื่นๆ

ในค่ำคืนที่ร้อนอบอ้าว ความเบียดเสียดยัดเยียดของนักโทษที่นอนเรียงราย กลิ่นสาบของผ้าห่มที่หมักหมม เสียงร้องครวญครางของคนป่วย เสียงไอรุนแรงจนแทบจะมีเลือดทะลักออกมาจากปาก

แสงไฟนีออนที่กะพริบสลับกับใบพัดลมเพดานที่หมุนผ่าน

เชือกเส้นเล็กๆ ถูกดึงออกจากกางเกงขาสั้นนำมาผูกติดกับลูกกรงพร้อมที่จะรัดเข้าที่คอของนักโทษ

วินาทีสุดท้ายที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับบรรยากาศรอบข้างและร่างกายที่อ่อนแอกำลังจะจบลง

ลมหายใจโรยรินและดับไปโดยไม่ต้องยืนขึ้น ไม่มีอีกแล้วความทนทุกข์ทรมาน

การผูกคอตายในท่านั่งมักพบอยู่เป็นประจำ หากนักโทษคนใดทนอยู่ในนี้ไม่ไหว

นี่คือหนทางที่จะออกไปจากคุกได้อย่างรวดเร็ว

แต่ไร้ซึ่งลมหายใจ

ไดอารี่ “คุก”

05.30 น. ตื่นนอน
05.45 น. เก็บที่นอน จัดเรียงที่นอนให้เป็นระเบียบ วางป้ายชื่อบนที่นอน (ไม่รู้จะมีระเบียบโง่ๆ แบบนี้ทำไม?)
06.00 น. เช็ดทำความสะอาดพื้นห้อง (ไม่มีกระเบื้อง ถูจนสีพื้นถลอก)
06.15 น. นับยอด ครั้งที่ 1 เพื่อเตรียมตัวเปิดขัง (ต้องเช็กทุกเช้า กลัวหนีตอนกลางคืน)
06.30 น. เปิดประตูห้องขัง
06.35 น. ทำธุระส่วนตัว เข้าบล็อก (หน้าสลอน ทักทายกันได้ เห็นกันตลอดแม้กระทั่งตอนอึ ไม่มีความลับในคุก)
06.45 น. วิ่งออกกำลังกายรอบสนาม (สนามเท่าสนามบาส วิ่งจนงง เหงื่อยังไม่ออกเลย)
07.15 น. อาบน้ำ (อาบกลางแจ้ง มีเพื่อนแก้ผ้าอาบน้ำเป็นร้อย)
07.30 น. กินอาหารเช้า (เมนู โจ๊ก น้ำเต้าหู้ แม่งมีอยู่ 2 อย่าง อันนี้สั่งแบบเสียเงิน แบบที่ไม่เสียเงินเรียกอาหารหลวง เป็นแกงไม่มีสัญชาติ มีแต่วิญญาณ ตอนกระเดือกลงต้องกลั้นหายใจ)
07.45 น. เตรียมตัวเข้าแถว ตรวจนับยอดครั้งที่ 2 (มันจะเช็กทำไมบ่อยๆ เพิ่งเช็กไปเมื่อกี๊นี้เอง หางานให้ผู้คุมทำ ไม่งั้นทั้งวันก็ส่องแต่พระ)
08.00 น. เคารพธงชาติ สวดมนต์ (สวดมาก สวดนาน ให้แม้กระทั่งเปรตมีความสุข แต่พวกกูมีทุกข์)
08.20 น. เข้ากองงาน เช็กยอดประจำกองงาน (ครั้งที่ 3) (นี่ตื่นมายังไม่ถึง 3 ชั่วโมงเลย นับยอดไป 3 รอบแล้ว คิดดูละกันว่าบ้าหรือเปล่า)
08.30 น. เริ่มทำงาน (ห้องสมุด) (จะมีอะไรทำในห้องสมุด ยกเว้น อ่านหนังสือ ค้นไปเจอหนังสือ “อ่างอาบน้ำทองคำ”)
10.30 น. พักกินข้าวเที่ยง (แม่งกินเที่ยงเร็วมาก เดี๋ยวดูแล้วกันว่ากินเย็นกี่โมง)
12.30 น. ออกเยี่ยมญาติ (เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แม้ไม่ได้สัมผัสอิสรภาพ แต่อย่างน้อยก็ยังได้เห็นคนมีอิสรภาพผ่านช่องลูกกรง ดูเมียเราสวยขึ้นโว้ยย)
13.00 น. เช็กยอด ครั้งที่ 4 (เอาอีกละ ในคุกไม่เคยหยุดเช็กยอด จะกลัวหนีอะไรหนักหนา แต่จริงๆ รอบนี้เป็นรอบมั่ว บางคนก็ไปเยี่ยมญาติ บางคนก็ไปทำงานนอกแดน)
13.05 น. เข้ากองงาน (ห้องสมุด) (กลับมานั่งทรมานเพ้อเจ้อ แต่ก็ยังดีกว่ากองงานอื่น แม่งนรกของแท้ หากทำไม่ได้ตามยอดโดนตบ)
14.00 น. กินข้าวเย็น (เห็นไหม? ว่ากินข้าวเย็นตอนบ่าย 2 คิดดูแล้วกันจะยัดลงไปที่ไหน แต่ก็ต้องกินเพราะถ้าไม่กินเข้าขัง 15 ชั่วโมง มันให้เอาน้ำขึ้นไปขวดเดียว น่าจะจับไอ้คนออกกฎมาขังดูบ้าง มันจะได้รู้รสชาติว่าหิวเป็นยังไง)
14.30 น. อาบน้ำ (รีบไปแก้ผ้าอาบน้ำกลางแดด แทบตาลายเพราะแต่ละคนสักลายพร้อยจนเวียนหัวมากๆ)
15.00 น. เข้าแถวขึ้นเรือนนอน (ต้องตรวจค้นทีละคนว่าเอาข้าว เอาบุหรี่ ขึ้นไปบนเรือนนอนหรือเปล่า อนุญาตให้น้ำขวดเดียว มันบ้าเข้าขั้น เพราะหากพบบุหรี่ก็จะให้กินบุหรี่ บางคนเลยซ่อนที่ง่ามตูด ส่วนอาหารไม่ได้ขึ้นอดแดก เพราะกลัวจะไปทำเลอะเทอะบนเรือนนอน)
15.30 น. เช็กยอด ครั้งที่ 5 ปิดห้องขัง (เริ่มปูที่นอน แต่ขอโทษ ร้อนสัสๆ เพราะอบแดด อากาศไม่ระบาย คนก็เยอะ นอนยัดเข้าไปห้องละ 40-50 คน จนไม่มีทางเดิน หากเผลอไปเหยียบที่นอนมีเรื่องกระทืบอีก แล้วมึงจะให้กูเดินไปบล็อกยังไงวะ?)
18.00 น. สวดมนต์ (ทำอย่างกับจำวัดสวดเช้าสวดเย็น ชุดใหญ่เกือบครึ่งชั่วโมง แต่พอเดินชนกันนิดเดียวแม่งแทบจะฆ่ากันตาย)
18.30 น. ดูทีวี อ่านหนังสือ นอน (ในคุกไม่ยอมประหยัดไฟ เพราะเปิดไฟนีออนสว่างจ้าตลอดทั้งคืน ต้องหาผ้าปิดตา ที่เปิดเอาไว้เพราะกลัวจะทำอะไรมิดีมิชอบ เก็บยอด ฆ่ากันตาย กลัวมองไม่เห็น จริงๆ เขาทำกันเวลาอื่นก็ได้)
21.30 น. ปิดทีวี (ช่วงเวลานี้เป็นเวลาของความทุกข์ทรมาน จะลุกจะเดินก็ไม่ได้ เพราะนอนเรียงกันเป็นตับระเกะระกะ บางคนสวดมนต์ บางคนนั่งสมาธิ บางคนนอนข่มตาให้หลับคิดเพ้อเจ้อ และบางคนไปเล่นว่าว)