ฟ้า พูลวรลักษณ์ : จำเป็นต้องมีทหารมากมาย ?

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๒๕.๒)

ทัศนคติทางการเมืองของฉัน ที่จริงเรียบง่าย

๑ ฉันอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย

๒ แต่ฉันก็มองเห็นข้อเสียบางอย่างภายในระบบประชาธิปไตย ข้อเสียนี้ เกิดจากตัวมนุษย์เอง เช่น ความเห็นแก่ตัวของชาวอเมริกัน ความเห็นแก่ตัวของชาวอังกฤษ ฯลฯ

คือระบบนี้ ไม่ได้ทำให้มนุษย์เข้าใจในหน้าที่ แต่เข้าใจในเสรีภาพ หากแต่ทว่า เสรีภาพ หากก้าวหน้าไป โดยไม่มีหน้าที่อยู่เลย มันก่อให้เกิดร้ายได้อย่างไร้ขีดจำกัด

แต่ฉันก็จะยังเลือกข้างฝ่ายประชาธิไตยอยู่ดี เพราะยังเห็นว่ามันดีที่สุด ส่วนอื่นก็ต้องมาต่อสู้กัน มาลุ้นกัน

เราอย่าเพลินกับเสรีภาพมากจนเกินไป หรือคิดแต่ว่า รัฐต้องให้อะไรเรา จนลืมคิดว่า เราควรให้อะไรรัฐ ซึ่งที่จริงแล้วมันสมมาตรกัน

เราควรรักชาติ แต่ไม่ใช่รักชาติแบบทหาร หากแต่เป็นความรักชาติแบบหมอรักชาติ แบบครูรักชาติ แบบเด็กรักชาติ

เวลาเราพูดถึงความรักชาติ เรามักคิดถึงทหารรักชาติ คล้ายมีเสียงเพลงมาร์ชดังขึ้นมา อันนี้เป็นความเข้าใจผิดที่ฝังตัวมาช้านาน

ดังนั้น ฉันจึงไม่อยากให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร แต่อยากเปลี่ยนมันให้กลายเป็น mandatory national service เป็นเวลาหนึ่งปี เท่ากับว่าคนไทยทุกคนเกิดมา เมื่อถึงเกณฑ์ ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ต้องทำงานให้ชาติหนึ่งปี งานที่ให้ประโยชน์ต่อชาติ งานที่ให้ประโยชน์ต่อสาธารณะ

ด้วยพลังคนที่มหาศาล เราสามารถแยกย้ายกันไปสู่การทำประโยชน์มากมาย ในหลายเส้นทาง ในการดูแลป่าไม้ ไปปลูกป่า ทำสวนสาธารณะ งานสุขาภิบาล สร้างโรงเรียน ฯลฯ ประเทศของเราจะเจริญขึ้น แต่ที่สำคัญคือจิตสำนึกของคนไทยจะเปลี่ยน

เด็กรุ่นใหม่ จะเกิดจิตสำนึกว่าชาติคืออะไร

หากพวกเขาได้รับประโยชน์จากชาติ พวกเขาก็ควรตอบแทนชาติด้วยเช่นกัน

หากประเทศไทยไม่เคยมีการเกณฑ์ทหาร เราจะกำหนด mandatory national service หนึ่งปี คงทำไม่ได้ คนเราเคยสบายมาแล้ว จะไม่ยอมลำบาก

แต่เพราะเรามีการเกณฑ์ทหารอยู่แล้ว การเปลี่ยนมัน กลับทำได้ เพราะความยากลำบากของมันก็ไม่แตกต่าง แต่ประโยชน์ของมันกลับมากมายกว่า

ทหาร ที่จริงเป็นอาชีพที่ดี กล้าหาญ องอาจ อดทน มันควรเป็นอาชีพของคนบางแบบ และมันควรเป็นอาชีพของมืออาชีพ มันเป็นความรักชาติแบบหนึ่ง แต่ควรเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

หนึ่งในทางเลือกของ mandatory national service คือทหาร เพราะบางคนอาจชอบเส้นทางสายนี้ แต่หลายคนกลับไม่ชอบ แต่พวกเขาก็อยากทำประโยชน์ให้ประเทศชาติเช่นกัน ยังมีอีกหลายเส้นทางให้เลือก

เกิดอิสระในการเลือก

คนบางคนชิงชังระเบียบวินัยแบบทหาร และการถืออาวุธฆ่าฟันคนอื่น พวกเขามีสิทธิที่จะเลือก ไม่เป็นทหาร คนแบบนี้จะรู้สึกเลยว่า การเป็นทหาร คือการไม่เป็นคน

แต่คนเราต้องรับใช้ชาติ หากพวกเขาต้องการอะไรจากชาติของเขา แบบนี้จึงเกิดความสมมาตร จึงเกิดเส้นทางสองเส้นทาง ไม่ใช่ต้องการเอาแต่ได้ถ่ายเดียว การรับใช้ชาติในช่วงวัยรุ่นหนึ่งปี ฉันว่ามีคุณค่ามาก มันจะตรึงตรา

มิเช่นนั้น เราจะเกิดปรากฏการณ์ คนไทยจะ

๑ ต้องการสวัสดิการ

๒ ไม่ยอมจ่ายภาษี

๓ หรือยอมจ่าย แต่ต้องการจ่ายภาษีน้อยที่สุด

๔ อยู่ประเทศไทย หากมีช่องทางกอบโกย

๕ หนีออกจากประเทศไทย หากไม่มีช่องทางกอบโกย

ทั้งที่จริงแล้ว หากคุณภาพของคนดีเลิศ แม้ประเทศไทยจะเป็นทะเลทราย เราก็ยังสามารถทำให้เป็นอะไรก็ได้

หากคนเราคิดแต่ว่าเสียภาษีแล้ว รัฐมีหน้าที่รับใช้เรา เหมือนเป็นบริษัท ที่เราจ้างพวกเขามาทำงาน

ความคิดแบบนี้ ง่ายดี แต่ฉันว่ามิติของชีวิตลึกกว่านั้น

สงครามเวียดนาม เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของประเทศอเมริกา ใหญ่โตแบบที่เราคาดไม่ถึง มองไม่ออก หากมองแบบสงครามธรรมดา เพราะชาวอเมริกันเสียชีวิตในสงครามครั้งนี้เพียงห้าหมื่นคน และบาดเจ็บอีกห้าแสนคน อีกทั้งเป็นการรบในดินแดนอื่น ห่างไกลบ้าน ไม่มีระเบิดสักลูกถูกทิ้งลงบนแผ่นดินสหรัฐอเมริกา

มันคือการพ่ายแพ้ ใช่ แต่มันไม่น่าจะเป็นการพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่สุด

มันควรถือเป็นการแพ้ธรรมดาครั้งหนึ่งเท่านั้น

แต่ไม่ใช่ นี้คือสงครามที่ชาวสหัรัฐอเมริกาพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ เพราะในปี 1960 ประชาชนในสหรัฐมีความเชื่อถือในรัฐบาลมากถึง ๘๐%

แต่พอในปี 1970 มีประชากรเพียง ๒๐% เท่านั้นที่ยังเชื่อถือในรัฐบาลอยู่

ความสูญเสียความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ สิ่งเหล่านี้ประเมินค่าไม่ได้ และแม้ทุกวันนี้ แม้กาลเวลาจะล่วงผ่านไปถึงครึ่งศตวรรษ มันก็ยังไม่สามารถฟื้นฟูกลับดังเดิม

มันทำลายชาติสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว หนึ่งสงครามที่คล้ายจะเล็กๆ นี้ เพราะมันทำลายจิตสำนึก

ทุกวันนี้ชาวอเมริกันเป็นชาติที่จิตสำนึกแหลกสลาย

ประเทศไทยไม่ได้มีความจำเป็นต้องมีทหารมากมาย แต่เราต้องการกองทหารที่น้อยลง แต่มั่นคง มีจิตสำนึก และเชื่อถือได้ เรียกว่าน้อยแต่ดี

และประเทศไทยต้องการประชากรในประเทศที่มีจิตสำนึกรักชาติมากกว่านี้ หากแต่ไม่ใช่รักชาติแบบคนถืออาวุธ แต่เป็นคนรักชาติแบบคนไม่ถืออาวุธ

เราไม่อยากเห็นคนไทยเกิดมาแล้วคิดว่านี่เป็นเพียงแค่ที่เกิด พอมีโอกาสดี ก็ย้ายสัญชาติ ไปชาติอื่นที่คิดว่าดีกว่า ขอถามว่าด้วยเหตุผลใด ชาตินั้นๆ ต้องต้อนรับคุณ

ที่จริง ควรเป็นเช่นนี้ในทุกชาติ หากเราจะย้ายสัญชาติไปชาติอื่น เราก็ต้องคิดด้วยว่า เราได้ทำหน้าที่ตอบแทนชาตินั้นๆ หรือยัง

การย้ายสัญชาติจึงไม่ใช่เรื่องแค่บัตรประชาชน แต่มันคือเรื่องของหน้าที่ ความรับผิดชอบ

คุณทำอะไรให้ชาติอังกฤษหรือยัง หากคุณจะย้ายไปเป็นชาวอังกฤษ

คุณทำอะไรให้นิวซีแลนด์หรือยัง หากคุณจะย้ายไปนิวซีแลนด์

คุณต้องถามตัวเอง

ฉันรับได้ หากคุณจะเป็นประชากรที่ดีของโลก

ในอนาคตยาวนานข้างหน้า โลกนี้อาจไม่มีพรมแดน มีรัฐบาลเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้น โลกนี้จะเปลี่ยนไป ทุกดินแดนที่วันนี้เรียกว่าชาติ ก็จะเป็นเพียงภูมิลำเนาที่แตกต่าง เป็นเพียงหมู่บ้าน ตำบล เราอพยพได้ ย้ายถิ่นฐานได้ ไปมุมไหนในโลกนี้ก็ได้

แต่วันนี้ ยกตัวอย่างชาติจีนกับอเมริกา เราจะเห็นความแตกต่าง

จะบอกว่าเพราะจีนปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ หากพวกเขาปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย ชาวจีนก็จะไม่ต่างจากชาวสหรัฐอเมริกา ฉันว่าไม่ใช่ เพราะขนาดญี่ปุ่นที่ปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย ก็ยังแตกต่างกับชาวอังกฤษ แม้จะเป็นเกาะเหมือนกัน

แตกต่างกันมากในชีวิต ความเป็นอยู่ ในวิธีการคิด ในปรัชญา ในวัฒนธรรม

แสดงว่าแต่ละประเทศที่จริงแล้วมีประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรมของตัวเอง และอยู่ลึกมาก

เพราะโลกนี้ยังมีประเทศชาติ ชาติที่เจริญต้องเริ่มด้วยคนในชาติ ต้องรักชาติของตัวเองก่อน และรับผิดชอบในชาติของตน

ฉันพูดด้วยเหตุผล ไม่ใช่พูดแบบปลุกระดม หรือแบบคนที่ถูกล้างสมอง

ฉันแยกแยะว่าอะไรคืออุดมคติ อะไรคือความจริง