ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 พฤศจิกายน 2559 |
---|---|
เผยแพร่ |
แต่ก่อนแต่ไรมาถ้าถามว่าวันที่ 14 ตุลาคม มีความหมายอะไรเป็นพิเศษสำหรับผมหรือไม่
สำหรับคนวัยเดียวกับผมที่เข้าเป็นนิสิตปี 1 ในมหาวิทยาลัยเมื่อพุทธศักราช 2516 และนับว่าเป็นคนที่ได้ผ่านเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 มาด้วยตนเอง ก็ย่อมจะจดจำได้เป็นอย่างดีว่าวันที่ 14 ตุลาคม ปีนั้นเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของเมืองไทย
ยังจำได้ดีว่าค่ำวันนั้นเวลาประมาณสักหนึ่งทุ่ม โทรทัศน์ของบ้านเราซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ช่องถ่ายทอดสดภาพ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” พระราชทานกระแสพระราชดำรัสเพื่อขอให้ทุกคนตั้งสติและระงับเหตุการณ์ความวุ่นวายจลาจลที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้งวัน
ผมและครอบครัวนั่งร้องไห้ชมการถ่ายทอดครั้งประวัติศาสตร์หนนั้นอยู่หน้าจอโทรทัศน์
หลังจากพระราชทานพระราชดำรัสองค์นั้นแล้วบ้านเมืองก็กลับคืนสู่ความสงบโดยเร็ว เป็นที่มหามหัศจรรย์ของทุกคนทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ ทั้งนี้ ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมโดยแท้
คนรุ่นผมเห็นจะยังจดจำภาพและเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ด้วยกันทั้งสิ้น
แต่ถ้านับจากปีนี้ คือพุทธศักราช 2559 เป็นต้นไป ความทรงจำพิเศษสำหรับผมเมื่อนึกถึงวันที่ 14 ตุลาคม ย่อมจะหมายรวมถึงครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ไปเฝ้ารออยู่ริมถนน เพื่อจะได้มีโอกาสเพียงเสี้ยวหนึ่งของนาทีสำหรับการหมอบกราบถวายบังคมพระบรมศพ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” พระองค์เดียวกันกับพระองค์ที่ผมเคยเฝ้าอยู่หน้าจอโทรทัศน์เมื่อสี่สิบสามปีก่อน ขณะขบวนอัญเชิญพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชกำลังเดินทางสู่พระบรมมหาราชวัง
หลังจากรับรู้ข่าวการเสด็จสวรรคตจากแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังในตอนค่ำวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พร้อมกันกับประชาชนคนไทยทั้งหลาย ขณะอยู่พร้อมหน้ากันกับชาวจุฬาฯ อีกหลายคนที่ศาลาพระเกี้ยวแล้ว ผมก็เดินทางกลับบ้าน
ค่ำวันนั้นถามตัวเองว่า ในวันรุ่งขึ้นซึ่งย่อมเป็นการแน่นอนว่าจะมีการอัญเชิญพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวัง ผมจะทำอะไรกับชีวิตของผม
ใครต่อใครก็ย่อมคาดเดาได้ว่าในวาระเช่นนี้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยย่อมจะได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดเหตุการณ์สดจากพื้นที่ให้คนไทยได้รับทราบรายละเอียด
แต่ครั้นจะให้นั่งชมการถ่ายทอดโทรทัศน์แล้วนั่งร้องไห้อยู่กับบ้านนั้น ผมทำไม่ได้
ทางเลือกอีกทางหนึ่งคือบอกตัวเองว่าเป็นข้าราชการที่เกษียณอายุมาหนึ่งปีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นถ้าแต่งตัวเต็มยศ ติดเหรียญตราใส่สายสะพายเข้าไปในพระบรมมหาราชวังก็คงมีโอกาสที่จะมีที่นั่งเฝ้าฯ ตามตำแหน่งที่สมควร
ขณะเดียวกันก็มีทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือการบอกกับตัวเองว่า ผมเป็นพสกนิกรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหมือนกับคนไทยอีกหกสิบกว่าล้านคนทั่วประเทศ
ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนสามารถทำได้ดังใจปรารถนา ทั้งหกสิบกว่าล้านคนคงอยากมาอยู่เรียงรายตามสองข้างทางที่ขบวนอัญเชิญพระบรมศพจะเคลื่อนผ่าน
ผมก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนหกสิบกว่าล้านคนนั้น แถมตัวเองยังมีภาษีดีกว่าคนอื่นอีกมากเพราะมีบ้านช่องอยู่ในพระนคร
แล้วทำไมเล่าจะไม่ทำอย่างที่หัวใจปรารถนา
คํ่าวันที่สิบสามนั่นเองผมจึงโทรศัพท์พูดคุยกับเพื่อนที่คุ้นเคยกันบ้าง กับลูกศิษย์ลูกหาที่ติดต่อกันอยู่เป็นประจำบ้าง เพื่อสอบถามว่าวันพรุ่งนี้มีใครคิดอ่านอะไรกันบ้าง
หลังจากสอบถามกันแล้วก็ได้คนที่จะร่วมคณะกันไปถวายบังคมพระบรมศพอยู่ริมถนนที่ใดที่หนึ่งสุดแต่จะเป็นไปได้ในราวสิบคน
นัดหมายกันเบื้องต้นว่าให้ไปพบกันที่วัดชนะสงคราม เพราะนึกวางแผนการจราจรว่าถ้าใช้เส้นทางถนนสามเสนและไปเสียตั้งแต่เช้าก็เห็นจะพอนำรถเข้าไปถึงวัดชนะสงครามได้
อีกประการหนึ่งที่วัดนั้นก็มีพระภิกษุที่คุ้นเคยและได้รับเมตตาจากท่านอยู่เป็นประจำ เห็นจะพออาศัยพักพิงได้ระหว่างรอเวลาให้พร้อมเพรียงกัน
นอกจากการโทรศัพท์นัดหมายกับเพื่อนและลูกศิษย์แล้ว ผมก็ได้โทรศัพท์ไปนมัสการพระคุณเจ้ารูปนั้นให้ท่านทราบล่วงหน้าด้วยว่าผมจะไปรบกวนท่านตั้งแต่เวลาสายๆ ของวันที่ 14 ตุลาคม เป็นต้นไป
รุ่งเช้าผมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าไว้ทุกข์แล้วเดินทางออกจากบ้านในราวแปดโมง
ตลอดหนทางไม่เห็นใครใส่เสื้อผ้าสีอื่นนอกจากสีดำและสีขาว
ใบหน้าของทุกคนดูเรียบและหม่นหมอง ไม่เหมือนกันกับเช้าวันอื่นๆ ที่ผมคุ้นเคย
จากบ้านที่อยู่ถนนรัชดาภิเษกในย่านลาดพร้าว
รถของผมลัดเลาะใช้เส้นทางถนนวิภาวดีเพื่อขึ้นทางด่วนที่ด่านดินแดงมีปลายทางที่ด่านยมราช
ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถนั้นเองผมทราบข่าวจากรายการวิทยุซึ่งยกเลิกรายการปกติทั้งหมดและเหลือแต่เพียงการรายงานเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สวรรคต ว่าทางราชการประกาศให้วันนี้เป็นวันหยุดราชการแล้ว
แต่สำหรับผมซึ่งเป็นคนนอกราชการแล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลใดๆ
จากทางลงด่วนยมราชผมใช้เส้นทางถนนพิษณุโลกและถนนสามเสน สถานที่ราชการทุกแห่งตลอดสองข้างทางลดธงครึ่งเสา
ผมไปถึงวัดชนะสงครามในเวลาราวเก้าโมง ได้เข้าไปอาศัยพักรอหมู่คณะที่กุฏิของพระมหาปกรณ์ซึ่งผมได้โทรศัพท์ติดต่อไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา
ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นไป ทั้งเพื่อนและทั้งลูกศิษย์ก็ทยอยกันมาสมทบจนคณะของเรามีจำนวนได้ประมาณสิบคน
พระมหาปกรณ์ได้เมตตาจัดเทียนและธูปไม้ระกำให้เราคนละหนึ่งชุด เผื่อว่ามีโอกาสจะได้จุดถวายสักการะพระบรมศพตามแบบธรรมเนียมอย่างเก่า
การจราจรวันนั้นยิ่งสายทั้งรถทั้งผู้คนก็ยิ่งมากขึ้นโดยลำดับ
ทุกคนมุ่งหน้ามาบริเวณท้องสนามหลวงเพื่อจะได้มีโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต ที่จะได้ถวายบังคมพระบรมศพของพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นยอดแห่งความรักเชิดชูบูชาของชาวเรา
ไม่ต้องพูดถึงที่ศิริราช หรือละแวกสะพานอรุณอมรินทร์ ที่ผู้คนแรมคืนเต็มพื้นที่กันมาตั้งแต่เมื่อวานค่ำแล้ว
กว่าจะรวมคนได้พรักพร้อมก็ใกล้เที่ยงแล้ว เพื่อนบางคนต้องจอดรถไว้กลางทางแล้วนั่งรถจักรยานยนต์เข้ามาพบกันเพราะถนนทุกสาย เรื่อยไปจนถึงทางด่วน การจราจรติดขัดไปหมด บางคนเห็นการจราจรติดขัดมากก็ทิ้งรถแล้วเดินเท้าเข้ามาหากันที่จุดนัดหมาย
ผมหาอาหารง่ายๆ รับประทานที่บริเวณร้านค้าหน้าวัดชนะสงคราม เข้าห้องน้ำเสียให้เรียบร้อยเพราะนึกคาดการณ์ว่าถ้าไปนั่งอยู่ริมถนนแล้วเห็นจะขยับขยายไปไหนยากเต็มที
จากหน้าวัดเราเดินไปตามถนนจักรพงษ์ เลี้ยวโค้งนิดเดียวก็เข้าสู่ถนนเจ้าฟ้า
เวลานั้นเกือบบ่ายโมงแล้ว ผู้คนมืดฟ้ามัวดินกำลังทยอยกันมาจับจองพื้นที่ พื้นที่ที่เป็นเกาะกลางถนนพอมีต้นไม้ให้ร่มเงาได้บ้างก็เต็มจนแน่นขนัดแล้ว
ระหว่างที่ผมกำลังงุนงงว่าจะนั่งลงตรงไหนได้บ้างนั้นเอง ผู้สื่อข่าวและทีมกล้องจากสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง (ดูเหมือนจะเป็นเนชั่นทีวี) หันมาเห็นหน้าผมเข้าก็ขอสัมภาษณ์ผมว่ามีความรู้สึกอย่างไรในขณะนี้
ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าผมตอบไปว่าอะไร รู้แต่ว่าพูดไปพลางร้องไห้ไปพลาง เมื่อให้สัมภาษณ์จบแล้ว ผมเดินย้อนขึ้นไปทางด้านสะพานพระปิ่นเกล้ายังไม่ถึงหน้าหอศิลป์เจ้าฟ้า เห็นยังมีพื้นที่บนพื้นถนนยังพอว่างอยู่ หยั่งเชิงลงนั่งดูก็ไม่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ตรงนั้นห้ามปรามว่าอะไร
นึกในใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะหาที่ให้คนจำนวนนับหมื่นนับแสนได้เฝ้าฯ ถวายบังคมพระบรมศพที่ตรงไหนได้บ้าง
นั่งลงไปได้ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาขอร้องให้ขยับถอยหลังจากแนวที่นั่งอยู่ไปสักนิดแล้วนำกรวยยางมาวางรักษาแนวเอาไว้ ผมและทุกคนก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามโดยไม่อิดเอื้อน
หลังจากผมและคณะนั่งลงตรงนั้นแล้วผู้คนที่ตามมาข้างหลังอีกจำนวนมาก ก็เดินไปทางด้านสะพานพระปิ่นเกล้าและนั่งต่อแถวยืดยาวไปจนถึงเชิงสะพาน ด้านหลังของเราก็มีคนนั่งซ้อนอีกไม่รู้กี่แถวต่อกี่แถวไปจนเต็มพื้นที่ถนน เลยไปจนถึงบาทวิถีข้างหลัง จนในที่สุดก็เต็มแน่นไปทั้งบริเวณ มองไปฝั่งตรงข้ามทางด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสาและโรงละครแห่งชาติ จำนวนผู้คนก็มากมายไม่แพ้กันกับฝั่งของเรา
แต่ฝั่งทางนั้นอาจจะโชคดีกว่าฝั่งผมสักหน่อยเพราะผู้ที่นั่งอยู่แนวเดียวกับผมเป็นด้านที่รับแสงอาทิตย์เต็มใบหน้าตลอดบ่าย
ส่วนฝั่งตรงกันข้าม ทุกคนหันหลังให้แสงอาทิตย์ แต่เอาเถิด ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้ทุกข์ยากแค่ไหน
ขอให้เพียงได้กราบถวายบังคมพระบรมศพ ใจของทุกคนก็ยอมได้ทั้งนั้น
ที่นั่งของผมอยู่บนพื้นถนน ตอนแรกนั่งทีเดียวก็รู้สึกร้อนผ่าว แต่เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่งทุกอย่างก็ค่อยคุ้นเคยขึ้น
บางคนในคณะของเรามีพัดมีร่มก็นำขึ้นมาใช้ประโยชน์
ทางซ้ายมือของผมมีหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบเศษ สังเกตเห็นว่าเธอมาคนเดียว ระหว่างเวลารอคอยที่ยาวนานก็สอบถามพูดคุยกันได้ความว่า เธอมาจากจังหวัดราชบุรี ออกเดินทางมาตอนสายๆ เพราะต้องดูแลจัดยาให้คุณยายของเธอซึ่งสุขภาพไม่ดีนักรับประทานเสียก่อน
เธอขึ้นรถประจำทางแล้วต่อรถอีกหลายต่อกว่าจะมานั่งต่อแถวเดียวกันกับเราได้
คนรอบข้างของเราต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยช่วยกันดูแลซึ่งกันและกัน
ใครมีน้ำ ใครมีลูกอมก็นำมาเผื่อแผ่เจือจาน
ในท่ามกลางคนนับหมื่นนับแสนที่นั่งอยู่ด้วยกันริมถนนวันนั้น เราเป็นเสมือนครอบครัวใหญ่ที่กำลังพบกับความสูญเสียครั้งสำคัญร่วมกัน
สิ่งที่น่าแปลกใจสำหรับผมอยู่มิใช่น้อยคือผู้คนที่อยู่รายรอบผมตลอดบ่ายวันนั้น ไม่ได้มีแต่เพียงคนวัยผมหรือใกล้เคียงกับผมเท่านั้น หากแต่มีทุกวัย ทุกฐานะก็ว่าได้
บางคนก็มาเดี่ยว
บ้างก็มากับครอบครัว
บ้างก็มากับเพื่อนฝูงหรือคนรู้จักคุ้นเคย
ผมเห็นนักเรียน นิสิต นักศึกษาหลายสถาบันแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบเดินมาเป็นกลุ่มๆ ผู้ใหญ่บางคนพาลูกหรือหลานมาด้วย
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้เห็นบรรยากาศอย่างนี้ในเมืองไทย
มองไปข้างไหนก็เห็นแต่คนใส่เสื้อผ้าสีดำ ใบหน้าอมโศกอย่างเห็นได้ชัด
เราทุกคนนั่งตากแดดและอยู่กับอากาศร้อนตลอดบ่ายวันนั้นด้วยความตั้งใจมุ่งมั่นเพื่อได้ก้มกราบกับพื้นสักครั้งหนึ่งเพื่อถวายสักการะแด่พระเจ้าแผ่นดิน ที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวตั้งแต่ผมแรกเกิดมาและจำความได้จนถึงวันนี้
ตลอดเวลาที่เรานั่งอยู่มีเจ้าหน้าที่คอยเดินให้บริการแจกสำลีชุบแอมโมเนียสำหรับคนที่มีท่าทีใกล้จะเป็นลม
บางคนทนความอบอ้าวและแสงแดดไม่ไหวก็เป็นลมพับลงไป ผู้คนที่อยู่ข้างๆ ก็ช่วยกันดูแลปฐมพยาบาลบ้าง ร้องขอให้เจ้าหน้าที่มาดูแลบ้าง สุดแต่อาการหนักเบา
หลายคนรวมทั้งผมด้วยนั่งพับเพียบก็แล้ว นั่งขัดสมาธิก็แล้ว เมื่ออยากจะผ่อนคลายอิริยาบถบ้างก็ลุกขึ้นยืน
มีน้องที่ไปด้วยกันคนหนึ่งพอลุกขึ้นยืนดังว่าก็โงนเงนเลยทีเดียว ต้องประคองให้นั่งลงแล้วช่วยกันพัดวี ครู่หนึ่งก็กลับฟื้นคืนแรงมาเป็นปกติ
นอกจากประชาชนจำนวนล้นหลามแล้ว ตลอดเส้นทางที่ขบวนรถอัญเชิญพระบรมศพจะเคลื่อนผ่านมีทั้งแถวทหารและตำรวจเรียงรายถวายพระเกียรติยศและดูแลความปลอดภัย
ก่อนถึงเวลาที่ขบวนจะเริ่มเคลื่อนจากโรงพยาบาลศิริราช เจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้ฝึกซ้อมการปฏิบัติด้วยท่าคุกเข่าและกระทำวันทยหัตถ์ ซึ่งเป็นท่าที่แปลกตาแต่ดูงดงามเหมาะสมกับโอกาสเป็นอย่างยิ่ง
ผมและทุกคนนั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ถอยหนีไปข้างไหน ตั้งแต่ก่อนบ่ายโมงจนเวลาก้าวเดินไปเรื่อยๆ สองสามชั่วโมงแล้วทุกคนก็ยังอยู่ในที่เดิมด้วยความอดทนและสงบนิ่ง
ในราวบ่ายสี่โมงมีพระราชาคณะชั้นเจ้าคุณรูปหนึ่งถือพัดยศซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าวินมอเตอร์ไซค์ วิ่งลงมาจากสะพานพระปิ่นเกล้า มุ่งหน้าไปทางพระบรมมหาราชวัง เข้าใจว่าท่านรีบเดินทางไปให้ทันงานพระราชพิธี
เป็นภาพที่แปลกตาและสังเกตเห็นได้ชัดเจน
จนใกล้จะถึงบ่ายห้าโมง ด้วยสัญญาณการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์จากโรงพยาบาลศิริราชและมีคนส่งข่าวต่อกันมาเป็นทอดๆ ก็ทำให้เรารู้ว่าวินาทีที่เรารอคอยมาตลอดบ่ายกำลังจะมาถึง
ทุกคนปรับอิริยาบถให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม ผู้ที่นั่งแถวหน้าเกือบทุกคนอยู่ในท่านั่งพับเพียบพร้อมที่จะประนมมือและก้มลงกราบกับพื้นถนน
ส่วนผู้ที่อยู่แถวหลังถัดเข้ามาจากแถวหน้า เช่นผมซึ่งอยู่แถวที่สอง พื้นที่ไม่เอื้ออำนวยให้หมอบกราบลงไปได้ เราก็จัดท่านั่งของตัวเราเองให้อยู่ในท่าคุกเข่า
ธูปเทียนที่เตรียมมาจะจุดถวายสักการะดูเป็นการพ้นวิสัยที่จะปฏิบัติได้ เพราะไม่รู้ว่าจะจุดและปักวางลงที่ใดบนพื้นถนนที่มีสภาพเช่นนั้น
ผมจึงตกลงกับทุกคนที่ไปด้วยกันว่า เราจะทำได้แต่เพียงการถือธูปเทียนนั้นไว้ในมือ ประนมขึ้นเหนือหัวของเราเพื่อถวายสักการะตามที่เราตั้งใจปรารถนา
แล้วเก็บธูปเทียนนั้นไปจุดถวายที่บ้านในตอนค่ำ
ยิ่งใกล้เวลา ทุกอย่างก็สงบเงียบ ทั้งเงียบ ทั้งวังเวง คนเป็นแสนอยู่ด้วยกันโดยไม่มีเสียงเอะอะโวยวาย
อีกไม่กี่นาทีต่อมาผมมองขึ้นไปบนสะพานพระปิ่นเกล้าซึ่งอยู่ทางขวามือของผมก็แลเห็นรถตำรวจวิ่งนำขบวนอัญเชิญพระบรมศพมาแต่ไกล
ถัดจากรถยนต์แล้วก็เป็นรถจักรยานยนต์ พ้นจากส่วนอารักขาล่วงหน้าไปแล้ว รถคันแรกในขบวนคือรถโฟล์กตู้ซึ่งจัดเป็นรถประดิษฐานพระบรมศพ
ต่อจากนั้นไปจึงเป็นรถพระที่นั่งของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งมีธงเยาวราชใหญ่ติดอยู่ด้านซ้ายมือของรถ สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน
แล้วต่อตามด้วยรถพระที่นั่งของเจ้านายอีกหลายพระองค์ และรถของข้าราชบริพารที่ตามเสด็จอีกหลายสิบคัน
ในวินาทีที่รถอัญเชิญพระบรมศพผ่านหน้าผมไปนั้น ผมยกมือที่ประคองธูปเทียนขึ้นกลางหน้าผาก ค้อมตัวลงถวายบังคมให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
น้ำตาไหลออกมาเรื่อยๆ โดยไม่มีเสียงสะอึกสะอื้น
หัวใจอยากจะปฏิเสธว่าภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้าไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงความฝันร้ายอย่างที่สุดเท่าที่คนไทยคนหนึ่งจะนึกฝันได้
แต่สมองก็บอกว่า ทั้งหมดนี้คือความจริง
วันคืนอันแสนสุขบนแผ่นดินของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เดินทางมาจนถึงวันสุดท้ายแล้ว
รถในขบวนคันแล้วคันเล่าวิ่งผ่านหน้าของเราไป สมองที่ยังชาอยู่ พร้อมกับดวงตาที่ชุ่มด้วยน้ำตาทำให้ผมจดจำรายละเอียดส่วนนี้ไม่ได้มากนัก
รู้แต่ว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนั้นอีกครู่ใหญ่ จนรถทุกคันวิ่งผ่านหน้าไปหมดแล้ว คนที่อยู่รอบข้างก็เริ่มส่งสัญญาณว่าเราเห็นจะเดินกลับไปที่วัดได้แล้ว ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเพิ่งรู้สึกตัวเองว่า เหนื่อยและเพลียเหลือเกิน
น้องที่ไปด้วยกันส่งมือให้จับเพื่อประคอง ถ้าเป็นเวลาปกติคงไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรอย่างนี้เป็นแน่
แต่ในวันนั้นยอมให้เขาประคองแต่โดยดี บอกตัวเองว่าเราอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ถ้าไม่สบายหรือเป็นอะไรไปตรงนี้จะลำบากคนอื่นเขายิ่งกว่านี้อีกมาก
ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างลุกขึ้นเดินเพื่อหาทางออกจากพื้นที่ แต่ก็ต้องใช้เวลามากพอสมควร เพราะคนมีมากเหลือเกิน
กว่าผมจะค่อยๆ ลัดเลาะกลับมาที่วัดชนะสงครามได้ก็เลยเวลาหกโมงเย็นไปแล้ว
กลับมาได้ดื่มน้ำดื่มท่าที่ลูกศิษย์ของพระมหาปกรณ์เอื้อเฟื้อจัดหาให้จึงค่อยมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาบ้าง เฝ้าติดตามดูการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ก็ยังไม่เห็นว่ามีพระราชพิธีอะไร จึงเข้าใจเอาเองว่า ระหว่างนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่กำลังถวายสรงพระบรมศพที่พระที่นั่งพิมานรัตยา
เมื่อเสร็จพระราชพิธีช่วงนี้และมาถึงงานบำเพ็ญพระราชกุศลที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทแล้ว โทรทัศน์คงจะได้ถ่ายทอดให้เราได้เห็นงานพระราชพิธีส่วนนี้ต่อไป
และแล้วทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่เราเข้าใจโดยโทรทัศน์ได้กลับมาถ่ายทอดงานพระราชพิธีอีกครั้งหนึ่งในเวลาประมาณหนึ่งทุ่มเศษ ทุกคนที่อยู่ด้วยกันมีความเห็นร่วมกันว่าถ้ารีบเดินทางกลับบ้านโดยเร็ว ก็จะต้องไปติดการจราจรอยู่กลางทาง เพราะมีคนประมาณตัวเลขว่าบ่ายวันนั้นมีผู้คนอยู่สองข้างทางที่ขบวนรถเคลื่อนผ่านในราวห้าแสนคน
ลูกศิษย์ของผมบางคนส่งข่าวว่าต้องเดินกลับจากสนามหลวงไปถึงสยามสแควร์
ฉะนั้น นั่งดูโทรทัศน์ถ่ายทอดสดอยู่ด้วยกันจะเป็นการดีกว่า จนงานพระราชพิธีจบแล้วจึงค่อยกลับบ้าน เห็นจะได้รับความสะดวกพอสมควร
คํ่าวันนั้น ผมออกจากวัดชนะสงครามในราวสามทุ่มเศษ ไม่ได้รับประทานอาหารมื้อค่ำ แต่ไม่ได้รู้สึกหิวโหยอะไร ถ้าใครหยิบยื่นอะไรมาให้ ทำท่าจะกินไม่ลงเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองจะมีอารมณ์ที่บันเทิงเริงรมย์อะไรได้
ระหว่างทางที่นั่งรถกลับบ้าน ใจก็แห้งผาก พร้อมกับความรู้สึกว่าการผลัดแผ่นดินคราวนี้มีความหมายมากสำหรับคนไทยทุกคน
ในวันคืนที่เสด็จขึ้นทรงราชย์ เมืองไทยเพิ่งพ้นผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาหยกๆ จากนั้นต่อมาอีกเจ็ดสิบปีเศษในรัชกาล แผ่นดินไทยได้ก้าวเดินมาจากวันเริ่มต้นแห่งรัชสมัยทีละน้อย ทีละน้อย อย่างมั่นคง ทรงครองแผ่นดินโดยธรรมโดยแท้ทุกประการ
เวลาเจ็ดสิบปีในรัชกาลที่เก้านี้ ผมมีโชควิเศษสุดที่ได้เกิดและเติบโตมาบนแผ่นดินของท่านนานถึงหกสิบเอ็ดปี จากเด็กตัวเล็กๆ อายุห้าขวบ ที่รอรับเสด็จกลับจากยุโรปอยู่ริมถนนพหลโยธินเมื่อพุทธศักราช 2504 มาเป็นข้าราชการบำนาญที่เฝ้าฯ ถวายบังคมพระบรมศพบนถนนเจ้าฟ้า
ในวันนี้ ผมหมดคำพูดที่จะบอกได้ครบถ้วนว่า ในสมองของผมมีความทรงจำอะไรบ้างเกี่ยวกับ “ในหลวง” พระองค์นี้
มั่นใจอยู่แต่เพียงว่า จะทรงอยู่ “ในดวงใจ” ของผมเป็นนิรันดร์