Wind of Change เมื่อ “บิ๊กตู่” นิ่ง “ป๋าเปรม” ก็นิ่ง เปิดแพ็กเกจผบ.ทบ.บิ๊กตู่” “บิ๊กแดง-3 ต.” รับเปลี่ยนผ่าน

สถานการณ์ในช่วงนี้ ดูนิ่งสงบ คงมีแต่กระแสข่าวลือเท่านั้นที่ถาโถมอย่างไม่หยุดหย่อน

ท่ามกลางความเงียบงันของบ้านสี่เสาเทเวศร์ หลังจากที่ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กลายเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน

ที่อาจจะไม่ค่อยได้เห็น พล.อ.เปรม ออกงานต่างๆ หรือการพระราชพิธีเท่าใดนัก

แต่มี นายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี ผู้ปฏิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรี ออกงานแทน และ บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีลูกป๋า ที่เชื่อกันว่าเป็นคนเดินงานของสำนักองคมนตรี ตัวจริง

โดยมีรายงานว่า พล.อ.เปรม ประสงค์ที่จะไม่ลงนามในเรื่องใดๆ ที่สำคัญเลย เพราะต้องการรอพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ มาเป็นองค์ผู้ทรงลงพระปรมาภิไธยด้วยพระองค์เอง โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

เนื่องจาก บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้ออกมาชี้แจงใหม่อีกครั้งแล้วว่า รัฐบาลจะเสนอให้ สนช. ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 23 ในการทำตามขั้นตอนการสืบราชสันตติวงศ์ หลังจากที่การพระราชพิธีถวายพระราชกุศลพระบรมศพ 15 วัน ผ่านไปแล้วระยะหนึ่ง

ย่อมหมายถึงการที่ พล.อ.เปรม จะดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน แค่ระยะสั้นๆ หรือแค่ 50 วันเท่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่องคมนตรีไม่มีมติเลือกประธานองคมนตรีใหม่ แต่แค่ให้นายธานินทร์ องคมนตรีที่อาวุโสสูงสุดรองจาก พล.อ.เปรม ปฏิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรีเท่านั้น เพื่อเปิดช่องให้ พล.อ.เปรม กลับมาเป็นประธานองคมนตรีอีกครั้งเมื่อพ้นหน้าที่ผู้สำเร็จราชการฯ

แม้ในทางปฏิบัติแล้ว ย่อมเป็นพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ในการเลือกองคมนตรีและประธานองคมนตรี ด้วยพระองค์เอง

เหล่านี้ จึงทำให้เกิดข่าวลือต่างๆ ตามมาอีกมากมาย…

 

จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมาเตือนสังคม ไม่ให้เชื่อข่าวลือ และเตือนทุกฝ่ายที่พยายามปล่อยข่าวในเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบัน

“ขออย่าเอาสถาบันลงมาเล่น อย่าเอาสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะความเป็นจริงแล้ว สถาบันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองเลย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พร้อมกันนั้น คนไทยทุกคนต้องช่วยกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่สอดคล้องกับการที่รัฐบาล คสช. ส่งหนังสือแจ้งทูตในหลายประเทศ ที่มีคนที่มีคดีมาตรา 112 หลบหนีอยู่ ให้ความร่วมมือในการควบคุมคนเหล่านี้ ไม่ให้เคลื่อนไหวที่ทำร้ายจิตใจคนไทย

ท่ามกลางการเสนอข่าวและบทความของสื่อต่างประเทศ ที่จับตามองในช่วงการเปลี่ยนผ่านของไทย ในเชิงลบและวิพากษ์วิจารณ์

โดยมี พล.อ.เปรม เป็นคนที่ถูกจับตามองมากที่สุด…

 

ทั้งนี้ คนใกล้ชิดยืนยันว่า ตั้งแต่เป็นผู้สำเร็จราชการฯ นั้น พล.อ.เปรม ก็พำนักอยู่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ตามปกติ ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้ไปพักแรมในต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นสงขลา หรือนครราชสีมา เช่นที่มีข่าวลือออกมา

ส่วนการที่ไม่ค่อยเห็นป๋าเปรม ในการพระราชพิธีนั้น เพราะ พล.อ.เปรม ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปงานกฐินพระราชทานในหลายวัดหลวง แต่ก็ไปรับเสด็จฯ ในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ เมื่อครั้งสัตตมวาร 7 วัน และปัณรสมวาร ตอนครบ 15 วันเลย

“ป๋าเปรม ไม่ได้เครียดอะไรกับอนาคต” เสียงจากบ้านสี่เสาฯ

แต่กระนั้น ข่าวลือต่างๆ ก็ไม่หยุด ความหวาดหวั่นต่างๆ ของสังคมไทยในเวลานี้จึงนำไปสู่การจับตามองไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ และกองทัพ

แต่ด้วยเหตุที่เป็นนายกฯ ทหารเสือราชินี ซึ่งมีความจงรักภักดี และมีอำนาจสูงสุดในทางปกครอง ในเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ เองก็ดูสงบ นิ่ง สุขุม เยือกเย็น แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ขณะที่กองทัพเอง แม้ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.คนใหม่ จะเป็นน้องรักรบพิเศษ ของ พล.อ.สุรยุทธ์ ลูกป๋า แต่ทว่า ก็อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ แบบทหารอาชีพ

อีกทั้ง ผบ.หน่วยระดับคุมกำลังใน ทบ. นั้น ก็เป็นนายทหารที่เป็นคนของ พล.อ.ประยุทธ์ และ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม รวมทั้ง บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หรือในนามของ 3 ป. ทั้งสิ้น

และด้วยความเป็นทหารอาชีพของ พล.อ.เฉลิมชัย ด้วยแล้ว ย่อมไม่มีการแตกแถวใดๆ

 

ด้วยเหตุนี้ ที่ทำให้ พล.อ.เฉลิมชัย ซึ่งรู้ดีว่า สถานการณ์ในเวลานี้ และข่าวลือต่างๆ รวมทั้งความหวาดหวั่นของประชาชน จากความไม่ชัดเจนนั้น เป็นสิ่งที่สะท้อนความหวาดกลัวต่อ “การเปลี่ยนแปลง” ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ผมรู้ว่าตอนนี้ทุกคน รวมทั้งผม กำลังเสียใจ และกลัวการเปลี่ยนแปลง” พล.อ.เฉลิมชัย ระบุ

“แต่เราต้องเอาพลังของการเปลี่ยนแปลงนั้นมาเป็นพลังในการทำงาน” ผบ.ทบ. ย้ำ

ปกติ พล.อ.เฉลิมชัย ก็เป็นนายทหารที่ใบหน้าดูเครียด และครุ่นคิดตลอดเวลาอยู่แล้ว ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ จึงยิ่งถูกจับตามอง

“ไม่มีอะไร เมื่อเป็น ผบ.ทบ. ก็ทำงานเหมือนเดิม เพียงแต่บางอย่างเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ บางครั้งก็อาจจะคาดการณ์ยาก” บิ๊กเจี๊ยบ เปรย

แต่สิ่งที่ พล.อ.เฉลิมชัย เป็นห่วงนั้น น่าจะเป็นเรื่องการดูแลความสงบเรียบร้อยในภาพรวมมากกว่า ไหนจะความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายสากล ไหนจะกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ ที่ออกมาก่อเหตุนอกพื้นที่ และมีการแจ้งเตือนว่า จะก่อวินาศกรรมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งเหตุความรุนแรงในชายแดนภาคใต้

เขาจึงดึงเพื่อนรัก ตท.16 ที่เป็นนายทหารรบพิเศษ มาแท็กทีมการข่าว ทั้ง บิ๊กหน่อย พล.อ.ธนศักดิ์ เก่งถนอมม้า ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. และ บิ๊กจุ๋ม พล.อ.ราชรักษ์ เรียนพืชน์ ผอ.ททบ.5 จนถึงขั้นที่ชวนกันลงชายแดนใต้แล้วค้างคืนแบบเงียบๆ มาแล้ว

ในฐานะที่เป็นนายทหารรบพิเศษ ที่ทำงานการข่าว และปฏิบัติการลับมาตลอด จึงต้องเน้นเรื่องนี้อย่างมาก เพราะตอนนี้จะประมาทกลุ่มก่อความไม่สงบในชายแดนใต้ไม่ได้ เพราะอาจออกมาก่อเหตุนอกพื้นที่มากขึ้น

โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนและคนหมู่มาก และประชาชนที่มาร่วมใจกันที่ท้องสนามหลวง และโดยรอบ เพื่อถวายความอาลัยแด่ “ในหลวง รัชกาลที่ 9”

 

เหตุผลที่ทำให้ พล.อ.เฉลิมชัย มอบหมายให้ บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยของ คสช. กองทัพภาคที่ 1 ดูแลพื้นที่สนามหลวงและโดยรอบพระบรมมหาราชวัง

โดยมีการใช้กำลังทหารของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ขุมกำลังปฏิวัติสำคัญของกองทัพภาคที่ 1 ที่ส่วนใหญ่มีที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ด้วยการใช้กำลังทหาร 50 กองร้อย ดูแล และเตรียมไว้อีก 150 กองร้อยที่หมุนเวียนมาเสริม

จนทำให้กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยของ พล.1 รอ. ที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์นั้น เต็มไปด้วยทหาร จนบางครั้งก็ทำให้เกิดข่าวลือไปต่างๆ นานา

โดยมีรองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่มีอยู่ทั้ง 3 คน แบ่งงานกันมาบัญชาการดูแลพื้นที่เองตลอด 24 ช.ม. ทั้ง บิ๊กโอ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ ที่มาดูแลในภาพรวม ส่วน บิ๊กหนุ่ย พล.ต.ธรรมนูญ วิถี ดูแลในเรื่องการรักษาความปลอดภัยและการจราจร และ บิ๊กติ่ง พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ดูแลเรื่องการช่วยเหลือ ดูแลอำนวยความสะดวกให้ประชาชน

เรียกได้ว่า งานนี้เป็นการวัดฝีมือในการทำงานของรองแม่ทัพภาคที่ 1 ทั้ง 3 คนไปในตัวเลยก็ได้ ประหนึ่งว่า ใครจะได้เข้าไลน์ ในการโยกย้ายใหญ่ครั้งหน้า

เพราะเชื่อกันว่า บิ๊กตู่ พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพน้อยที่ 1 น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ ของบิ๊กป้อมและบิ๊กตู่ จะได้ขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 ต่อจาก พล.ท.อภิรัชต์ เพื่อนรัก ตท.20 แล้วให้ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ เพื่อนอีกคน ขึ้นมาเป็น พลโท แม่ทัพน้อยที่ 1

แต่ก็ต้องยอมรับว่า พล.ท.อภิรัชต์ ก้าวล้ำนำหน้าเพื่อน ตท.20 ไปแล้วหลายช่วงตัว เพราะถือว่าเข้าไลน์สู่ 5 เสือ ทบ. และชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ต่อจากนี้ เพราะเขามีอายุราชการถึงกันยายน 2563 จนกลายเป็นความหวังของวงศ์เทวัญ และ “ราบ 11 คอนเน็กชั่น” เลยทีเดียว

นี่อาจมีส่วนที่ทำให้ พล.ท.อภิรัชต์ เมื่อขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ดูเงียบ นิ่ง สุขุม มากขึ้น และอาจจะไม่ค่อยพูดคุย ให้สัมภาษณ์สื่อ เท่าใดนัก

 

ขณะที่ พล.ต.ธรรมนูญ และ พล.ต.สันติพงศ์ เพื่อน ตท.22 ที่เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 คู่กันนั้น ก็เป็นแคนเดิเดตที่จะขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 คนต่อไป ที่อาจจะสะเทือน พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ที่อาจต้องขยับไปเป็น พลโท ตำแหน่งอื่น เพื่อหลีกทางให้น้องๆ ขยับขึ้น ก็เป็นได้

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลงมาจัดโผทหารครั้งที่แล้วเอง ในการเลือก ผบ.ทบ. และแม่ทัพภาคที่ 1 รวมทั้งอีกหลายตำแหน่ง ทำให้ พล.ต.สันติพงศ์ อาจมีความได้เปรียบ พล.ต.ธรรมนูญ

ด้วยเหตุที่ พล.ต.สันติพงศ์ เป็นอดีต ผบ.ร.21รอ. เป็นน้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ แถมมีอายุราชการถึงกันยายน 2565 เลยทีเดียว

เนื่องจากในสายทหารเสือราชินี เวลานี้มีการวางตัวนายทหารที่จ่อคิวขึ้นไลน์เส้นทางเหล็กกันไว้แล้ว เช่น บิ๊กต่อ พล.ต.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.พล.ร.2 รอ.คนใหม่ อดีต ผบ.ร.21 รอ. น้องรักนายกฯ ซึ่งเป็นเตรียมทหาร 23 ที่มีอายุราชการถึงปี 2567 เลยทีเดียว และมี เสธ.ตั้ม พ.อ.วรยุทธ แก้ววิบูลย์พันธุ์ แกนนำ ตท.24 ขยับจาก ผบ.ร.21 รอ. ขึ้นมาเป็น รอง ผบ.พล.ร.2 รอ. จ่อไว้แล้ว

เหล่านี้ ถูกมองว่าเป็นการมองการณ์ไกลของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการเตรียมวางตัวนายทหารที่เหมาะสมเอาไว้รองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต ช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง

ที่เชื่อกันว่า ไม่ว่าจะเลือกตั้งสูตรไหน จัดตั้งรัฐบาลแบบใด นายกรัฐมนตรีในอนาคตอันใกล้นี้ ก็จะยังชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไป ที่ก็ย่อมมีกองทัพ พร้อมที่จะสนับสนุนดูแล ปกป้อง ไม่ให้ใครเบื่อบิ๊กตู่ ง่ายๆ ในเวลานั้น หากต้องอยู่นาน

 

อีกทั้งสถานการณ์จากนี้ไป ก็เป็นจังหวะที่เอื้อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับฉันทานุมัติว่า เป็นนายกฯ ทหารที่เหมาะสมที่สุด ในการดูแลชาติบ้านเมือง เฉกเช่นเดียวกับในเวลานี้

ที่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวที่มีมาตลอด ในการตั้งพรรคทหาร หรือพรรคนอมินีของทหาร ที่ก็ต้องมีข่าวพาดพิงโยงใยไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ และโดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร เสมอๆ

ตั้งแต่ พรรคภูมิใจไทย หรือความเคลื่อนไหวของสาย “เนวิน ชิดชอบ” และ เจ้าสัวคิง เพาเวอร์ จนมาถึงพรรคอธิปไตยปวงชนชาวไทย ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องออกมาปฏิเสธทุกครั้ง พร้อมยืนยันว่า ทั้งตนเองและ พล.อ.ประวิตร จะไม่ตั้งพรรคและไม่เล่นการเมือง

แต่งานนี้ก็ทำให้ บิ๊กแช พล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 ที่เป็นสายตรงของบิ๊กป้อม ก็ถูกจับตามอง เพราะมีการอ้างความเคลื่อนไหวของทหารในกองทัพภาคที่ 2 กับบิ๊กป้อม อยู่เนืองๆ แม้แต่ล่าสุด

อาจด้วยเพราะ พล.ท.วิชัย ถูกมองว่าเป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ในอนาคตได้อีกคนหนึ่ง เพราะมีอายุราชการถึงกันยายน 2562 เลยทีเดียว และเป็นนายทหารอีสาน ที่ทำหน้าที่ทหารเสือฯ ติดตามเสด็จฯ มายาวนาน จึงทำให้ถูกจับตามองในทุกย่างก้าว

เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ในยามนี้

ว่ากันว่า การเมืองไทยในเวลานี้ ยากแก่การคาดการณ์ และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และอาจมีเรื่องคาดไม่ถึง เกิดขึ้นได้เสมอด้วย