ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 มีนาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์
นพมาส แววหงส์
ALL THE MONEY IN THE WORLD
‘อภิมหาเศรษฐีขี้ตืด’
กำกับการแสดง Ridley Scott
นำแสดง Michelle Williams Christopher Plummer Mark Wahlberg Romain Duris Charlie Plummer
คนอเมริกันและนักท่องเที่ยวรู้จักชื่อ เจ. พอล เกตตี้ จากพิพิธภัณฑ์และศูนย์ศิลปะในชื่อเขาในลอสแองเจลิสและมาลิบู ซึ่งเป็นหมู่อาคารสวยงามตั้งอยู่บนเนินสูงที่มองเห็นวิวทิวทัศน์งดงาม และเป็นที่รวบรวมงานศิลปะล้ำค่าที่เจ้าของเดิมสะสมไว้มากมาย
ใน ค.ศ.1957 เจ. พอล เกตตี้ ได้รับการเรียกขานในนิตยสารฟอร์จูนว่าเป็นคนอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดที่ยังมีชีวิต
และใน ค.ศ.1966 หนังสือรวบรวมสถิติของกินเนสส์ เรียกเขาว่าเป็นบุคคล (private citizen) ที่ร่ำรวยที่สุดของโลก
เกตตี้เป็นนักอุตสาหกรรมชาวอังกฤษที่เกิดในอเมริกาและสร้างความร่ำรวยจากกิจการน้ำมันที่เริ่มลงทุนขุดในซาอุดีอาระเบียในครึ่งแรกของศตวรรษที่ยี่สิบ และรวยไม่รู้เรื่องอย่างไม่ยอมให้เศษเงินกระเด็นจากกระเป๋าสักแดงเดียวไปจนตลอดชีวิตเมื่อเขาตายในทศวรรษ 1970
เขามีชื่อเสีย(ง)ในทางสุดยอดแห่งความมัธยัสถ์ พูดง่ายๆ คือขี้เหนียวขี้ตืดอย่างที่สุด
จอห์น เพียร์สัน เขียนหนังสือชื่อ Painfully Rich : The Outrageous Fortunes and Misfortunes of the Heirs of J. Paul Getty ซึ่ง ริดลีย์ สกอตต์ นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ All the Money in the World ที่ฉายอยู่ขณะนี้
และส่งให้ คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ เกือบจะได้รางวัลยอดเยี่ยมในฐานะบทบาทนักแสดงชายสมทบจากการสวมบทบาทมหาเศรษฐีขี้ตืดคนนี้
ทว่า ผลรางวัลที่เพิ่งประกาศไปสดๆ ร้อนๆ ตกเป็นของ แกรี่ โอลด์แมน ผู้โดดเด่นหาใครสู้ได้ยากในบทวินสตัน เชอร์ชิลล์ จาก The Darkest Hour
ต่อให้มี “เงินทั้งหมดในโลก” อยู่ในครอบครอง แต่ เจ. พอล เกตตี้ ก็ยังไม่ยอมจ่ายค่าไถ่ที่คนร่ำรวยขนาดเขาต้องถือว่าเป็นเศษเงิน ตอนที่หลานชายคนโปรด ผู้จะกลายเป็นทายาทกองมรดกล้นฟ้าของเขา และได้รับการเรียกขานด้วยชื่อเดียวกับเขาโดยมีตัวเลขตามชื่อ คือ “เจ. พอล เกตตี้ที่ 3” ดุจดังการสืบสันตติวงศ์ในราชบัลลังก์
ใน ค.ศ.1973 หนุ่มน้อยพอล เกตตี้ (ชาร์ลี พลัมเมอร์) ไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ลำพังในย่านเปลี่ยวของกรุงโรม เมื่อมีกลุ่มคนร้ายจับตัวเขาขึ้นรถแวนไปกลางดึก และส่งข้อความเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 17 ล้านเหรียญ
พอลอยู่กับเกล แฮริส (มิเชลล์ วิลเลียมส์) ผู้เป็นแม่ที่หย่าขาดจากสามีคือลูกชายของเกตตี้และเลี้ยงดูลูกแต่ลำพังโดยที่พ่อและปู่ไม่ได้ส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้ แต่ในสายตาของโลก พอล เกตตี้ ก็ยังเป็นทายาทอภิมหาเศรษฐี
และการจับตัวไปเรียกค่าไถ่ การจี้เครื่องบิน และการจับตัวประกัน เป็นอาชญากรรมที่แพร่หลายอยู่ในช่วงทศวรรษนั้น
อันธพาลกลุ่มเล็กๆ ที่อุ้มตัวพอลไปกลางดึก พาพอลไปกักขังไว้ในชนบท ระหว่างการเจรจาเรียกค่าไถ่อันยืดเยื้อเกินควรเป็นเวลาหลายเดือนจนหมดปัญญาจะรับมือได้ พอลถูกขายให้แก่กลุ่มมาเฟียอื่น
ความขี้ตืดของเกตตี้ที่ไม่มีวันยอมควักกระเป๋าง่ายๆ และมีนิสัยต้องต่อรองจนได้ราคาต่ำสุด ทำให้พอลตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต และกลุ่มคนร้ายขู่จะตัดอวัยวะเขาส่งกลับคืนมาทีละชิ้นๆ
เกตตี้มอบหมายให้เฟลตเชอร์ เชส (มาร์ก วอห์ลเบิร์ก) นักเจรจาต่อรองด้านธุรกิจซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอ มาดำเนินการเจรจาเรื่องนี้
ขณะที่เกลผู้เป็นแม่ร้อนรนกระวนกระวายอย่างเหลือเกินว่าจะไม่ได้ลูกชายกลับคืนขณะยังมีชีวิต
การเจรจาเริ่มตั้งแต่ความไม่เชื่อว่านี่เป็นการจับตัวไปเรียกค่าไถ่จริงๆ แต่เป็นแผนลวงของเจ้าตัวที่อยากได้เงินจากปู่ด้วยวิธีง่ายๆ ไปจนถึงการต่อรองลดราคาค่าไถ่จาก 17 ล้านมาจนลงเอยที่ 4 ล้าน ทว่า เกตตี้ก็ยังไม่ยอมจ่าย ทั้งๆ ที่ตกลงเซ็นสัญญากับเกลให้ล้มเลิกสิทธิของมารดาในการเลี้ยงลูกและมอบลูกชายกลับคืนให้ตระกูลเกตตี้
เงินสูงสุดที่เกตตี้ยอมจ่ายให้คือหนึ่งล้านเหรียญ ด้วยสาเหตุที่ว่าเพดานสูงสุดที่เขาจะใช้เงินก้อนนี้ในการหักภาษีได้คือไม่เกินหนึ่งล้าน
เชื่อเขาไหมล่ะคะ
รายละเอียดความขี้ตืดของเกตตี้ที่ไม่ยอมให้เงินเล็กเงินน้อยเล็ดลอดไปจากมือเขา มีตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย ที่เขาไม่ยอมจ่ายค่าซักรีดผ้าปูที่นอนในโรงแรมระดับหรูสุดที่เขาพักอาศัย แต่ยอมลำบากซักผ้าเอง แล้วตากเอาไว้เกลื่อนห้อง ไปจนถึงการมอบของราคาไม่กี่สตางค์ให้หลานชาย โดยหลอกว่าเป็นโบราณวัตถุสูงค่าหายาก
และที่สำคัญคือเงินทองมหาศาลที่เขาหามาได้นี้เขาไม่สามารถนำไปใช้จ่ายซื้อหาความสุขใส่ตัวได้โดยอิสระ เนื่องจากเขาจัดตั้งเป็นกองทุนที่ไม่สามารถนำเงินมาใช้จ่ายได้ นอกจากนำไปซื้องานศิลปะ…ซึ่งทำให้เกตตี้มีของสะสมทางศิลปะมากมายมหาศาล จนจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ได้หลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว
แรกทีเดียว บทบาทของ เจ. พอล เกตตี้ ตกอยู่กับ เควิน สเปซีย์ ซึ่งถ่ายทำใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว เสียแต่ว่าสเปซีย์ตกเป็นข่าวอื้อฉาวด้วยข้อหาที่เสี่ยงต่อการต่อต้านของสาธารณชน โดยมีผู้กล่าวหากว่าสิบรายที่อ้างว่าเคยโดนกระทำ
ผู้กำกับฯ ริดลีย์ สก็อตต์ จึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวแสดงกลางคัน (เรียกว่า “ปลายคัน” น่าจะถูกกว่าค่ะ เพราะเปลี่ยนตัวเมื่อถ่ายทำใกล้จะเสร็จแล้ว) โดยยอมทิ้งฟุตเทจเก่า และถ่ายทำใหม่โดยใช้นักแสดงคนใหม่ คือ คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์
ว่ากันว่าในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้พลัมเมอร์จับบุคลิกของเกตตี้ได้อยู่หมัดและโดดเด่นกว่าที่สเปซีย์เล่นไว้เสียอีก
และเรื่องที่มาพ้องพานกันอย่างน่าประหลาดคือ คนนามสกุลเดียวกันมาเล่นเป็นปู่เป็นหลานกัน โดยที่ทั้งคริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ และชาร์ลี พลัมเมอร์ ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดวงศ์ตระกูลกันมาเลย
คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ โดดเด่นด้วยลักษณะตัวละครเหลือเชื่อที่ทำให้เราตกตะลึงตาค้างว่า
“คนอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ”
ซึ่งตั้งแต่เริ่มเรื่อง หนังก็ใช้เสียงของพอล ทายาทมหาเศรษฐี กล่าวแก่คนดูว่า “เกิดเป็นคนในตระกูลเกตตี้เป็นเรื่องไม่ธรรมดาเลย เหมือนกับว่าเรามาจากดาวดวงอื่น เราหน้าตาเหมือนคุณๆ ท่านๆ แต่เราไม่เหมือนคุณๆ ท่านๆ ปู่ผมไม่ใช่แค่คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เขาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเลย ผมเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังเพื่อคุณจะได้เข้าใจเรื่องที่คุณกำลังจะได้ดูนี้”
และ All the Money in the World เป็นเรื่องจริงยิ่งกว่านิยายของบุคคลที่เหลือเชื่อคนนี้…