You are my Sunshine “นิยามรัก”

ความรักคืออะไร? คำถามแรกผุดขึ้นหลังดู You are my Sunshine จบลง

ในภาพยนตร์เรื่อง One Fine Spring Day ซางวูถามอุนซูว่า

“ความรักเปลี่ยนแปลงได้ยังไง” หญิงสาวไม่ตอบคำถาม แต่หลังจากนั้นเริ่มทำตัวเหินห่าง และสุดท้ายก็เลิกราจากเขาไป

เช่นเดียวกับใน You are my Sunshine ฉากที่ซุกจุงพาอุนฮาไปดู One Fine Spring Day ในค่ำคืนหนึ่งแล้วถามคำถามเดียวกันนี้กับหญิงสาว และเธอก็พูดความในใจออกมาว่า “รู้มั้ยว่าฉันไม่เคยชอบคุณเลย!”

แล้วเหตุผลที่คนสองคนมาคบกันล่ะ มันคืออะไร? หรือระหว่างศึกษาดูใจกัน มันทำให้ทั้งสองเห็นข้อเสียของกันมากขึ้น และเห็นควรว่าไปต่อกันไม่ได้ จึงตัดสินใจเลิกกัน

“คุณดีเกินไป ฉันไม่อยากทำลายชีวิตของคุณ” อุนฮาเคยพูดประโยคนี้ตอกหน้าซุกจุงเมื่อเขามาขอความรักและขอให้เธอเลิกทำงานบริการที่ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวเสียที แต่เหตุผลอันใดไม่ทราบ-ฝ่ายหญิงจึงปฏิเสธความหวังดีจากชายหนุ่มและตัดพ้อต่อความสัมพันธ์ออกไปอย่างนั้น

เบื้องต้น You are my Sunshine มีท่าทีจะเล่าเรื่องในรูปแบบเดียวกันกับ One Fine Spring Day คือ อธิบายให้คนดูรู้ว่า เธอไม่ใช่หญิงบริสุทธิ์ที่เพิ่งมีรักครั้งแรก

เธอไม่เหมือนซุกจุงที่วันๆ เอาแต่ทำงานอยู่ในฟาร์มและไม่เคยมีความรักมาก่อน

เธอมิได้ขาวสะอาดเหมือนสีของนมวัวที่เขารีดใส่ขวดมาให้เธอดื่มทุกวัน (และเธอก็เอามันไปเททิ้งลงอ่างล้างชามทุกวันเช่นกัน)

เพื่อนสาวที่ทำงานในร้านกาแฟ (มีบริการส่งถึงห้องพักและมีขายบริการไปในตัว) ถามว่า “เธอย้ายจากกรุงโซลมาทำไม” อุนฮาได้แต่แสร้งทำเป็นยิ้มแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร นอกจากทำงานในร้านกาแฟตอนกลางวัน กลางคืนเธอยังหาเงินพิเศษด้วยการเป็นเด็กนั่งดริ๊งก์อยู่ตามผับ อุนฮาให้เหตุผลว่า “เป็นเพราะเวลาตอนกลางคืนมันยาวนานเกินไป”

น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่าอดีตในกรุงโซลมันมีเรื่องราวอะไรหนักหนา เธอถึงไม่กล้าเปิดใจ “รักตอบ” หนุ่มบ้านนอกหรือชายหลังเขาอย่างซุกจุง ทั้งที่เขาก็ออกจะดีแสนดี วันๆ เอาแต่ทำงานและมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งยังรักและห่วงใยแม่ยิ่งกว่าสิ่งใด

คงเพราะความไร้เดียงสาและเหมือนเด็กติดแม่นี่กระมัง ที่ทำให้พี่ชายที่แต่งงานมีครอบครัวออกไปแล้ว ต้องเอ็ดตะโรว่ากล่าวตักเตือนอยู่บ่อยครั้งว่า เมื่อไหร่จะแต่งงานไปมีครอบครัวเหมือนคนอื่น ถึงหนังไม่ได้บอกรายละเอียดในส่วนนี้ชัดนัก แต่ก็พอทำให้เรารู้ได้ว่า ความเป็นลูกคนเล็กและการเลี้ยงประคบประหงมอย่างดีจากบุพการี จึงทำให้เขาดูอ่อนต่อโลกและไม่ทันคนในหลายๆ เรื่อง

(เช่น เรื่องที่เขาเคยจ่ายเงินเดินทางไปหาคู่ถึงฟิลิปปินส์-แต่ดันถูกหลอก)

อันที่จริง วัวที่ซุกจุงเลี้ยงอยู่บนเขากับน้ำนมที่รีดใส่ขวดเอาไปให้อุนฮาดื่ม มันเชิญชวนให้คนคิดมากตีความได้ไม่น้อย เช่น ในสองสามฉากที่เรามักเห็นเขาระบายความในใจต่างๆ ให้แม่วัวฟัง (ตั้งแต่เรื่องถูกหลอกจนถึงเรื่องมีความรัก) แต่วัวมันก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตากินหญ้าไปตามประสา อย่างน้อยมันก็ฟังเขาแม้มันจะไม่รู้เรื่องก็ตาม

แต่ทั้งเพื่อนสนิทและคนในครอบครัว ไม่มีใครอยากฟังและไม่เห็นด้วยที่เขาจะคบกับหญิงขายบริการ

ส่วนน้ำนมที่คล้ายความบริสุทธิ์ที่ยังไม่ถูกปรุงแต่ง “น้ำนมสดๆ รับประทานดีเพื่อสุขภาพ” แม้เขาจะพร่ำบอกสรรพคุณให้เธอฟัง แต่อุนฮาก็ไม่เคยคิดอยากดื่ม แต่ก็รับมาเพราะไม่อยากเสียน้ำใจ

แต่เมื่อวันนึงเธอเริ่มกลั้นใจดื่ม (เอามือบีบจมูก) เธอจึงรู้ว่า แท้ที่จริงมันก็อร่อยดี มันก็คงเหมือนกับความใสซื่อบริสุทธิ์ที่เขาหมั่นส่งและแสดงออกมาให้เธอเห็นอยู่ทุกวันจนเธอเริ่มใจอ่อนลงนั่นเอง

มันคงจะดีและชวนแฮปปี้มากกว่านี้ หากหนังจะไม่พยายามสร้างอุปสรรคหลังชีวิตแต่งงานของคนทั้งสองให้มีอันต้องง่อนแง่นและบานปลาย และชวนให้นึกถึงคำถามที่ว่า

“ความรักเปลี่ยนแปลงได้ยังไง”

ใน One Fine Spring Day จุดหักเหมาจากฝ่ายหญิงปันใจให้ชายคนใหม่ แต่ในเรื่องนี้ อดีตสามีเก่าตามมาทวงรักคืนและอ้อนวอนขอแก้ตัวใหม่ นั่นจึงทำให้เรารู้เบื้องลึก-ที่อุนฮาหนีจากตัวเมืองมายังต่างจังหวัด คือหนีจากอดีตแฟนเจ้าชู้ ขี้เหล้า และชอบทุบตีเธอเป็นกิจวัตร

…ครั้งหนึ่งที่อุนฮาเมาจนอ้วกแตกอ้วกแตน เธอระบายความอัดอั้นที่ปกปิดให้ซุกจุงฟังว่า แท้ที่จริงเธอเพิ่งอายุยี่สิบสี่ไม่ใช่ยี่สิบเจ็ดอย่างที่กล่าวอ้าง… และนั่นก็คงเพียงพอแล้วที่จะทำให้คนดู “ย้อนคิด” ว่า “เธอ” คงใช้ชีวิตคู่เร็วเกินไป

ปฐมบทของปัญหาเบื้องต้นหลังแต่งงาน ที่เธอพยายามจะปกปิดและลบล้างตัวตนเก่าๆ เพื่อเป็น “ประกายแห่งชีวิต” สำหรับเขา เช่น ปัญหาในลำดับถัดมาที่ค่อนข้างรุนแรงและเขื่องยิ่งกว่า ที่เขาต้องพยายามต่อสู้และปกป้องเป็น “ประกายแห่งชีวิต” ให้เธอยืนหยัดและไม่ย่อท้อ

แม้ทั้งเพื่อนสนิทและครอบครัวจะต้องโกรธเกลียดเขาก็ตาม

ความสัมพันธ์ของซางวูและอุนซูใน One Fine Spring Day จบลง จนเกิดคำถามว่า ความรักเปลี่ยนแปลงได้ยังไง คงตอบคำถามนี้ได้ชัดว่า มันเปลี่ยนแปลงเพราะคนๆ หนึ่งหมดรักและคนที่ยังรักอยู่ต้องเป็นฝ่ายเจ็บช้ำและลิ้มรสคราบน้ำตา…

แต่คำถามเดียวกันนี้ใน You are my Sunshine กลับตอบตรงกันข้าม คือเมื่อรักเกิดเปลี่ยนแปลง แต่ลึกๆ ของทั้งสองยังไม่หมดรักกัน วันเวลาที่ต้องเผชิญกับปัญหาหนักถึงขั้นสาหัสสากรรจ์และไม่สามารถอธิบายให้คนรอบข้างเข้าใจได้ แม้มันจะทำให้ต่างฝ่ายต่างสั่นคลอนในรักกันไปบ้าง

แต่เมื่อทั้งคู่ต่างรู้กันดีอยู่ในส่วนลึกว่ายังไงก็ตัดรอนกันไม่ขาด จะกี่ครั้งที่รักต้องสะเทือนหรือสะดุด เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า-เขาและเธอก็ยังมองเห็นกันและกัน

You are my Sunshine ทำให้เราเห็นความเป็น “คู่แท้” ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง โดยการให้คนดูเห็นภาพชายหนุ่มเดินย่ำอย่างยากลำบากอยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลน ก่อนนอนแผ่หรามองท้องฟ้าแล้วฉีกยิ้มออกมา

ภาพตัดมาที่ฝ่ายหญิงกำลังยืนรอเพื่อนอยู่ เธอค่อยๆ เงยหน้ามองฟ้าและยิ้มรับอรุณที่สดใส ทั้งคู่ยิ้มในเวลาเดียวกัน ต่างสถานที่กัน ก่อนโคจรมาพบกัน ราวกับจะบอกว่า ความรักเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา และทุกคนที่ไม่ใช่คู่กัน แต่สำหรับคนที่ใช่-คนที่เป็นคู่กัน ต่อให้ถูกลมพัดลมพาลอยล่องห่างกันไปกี่ครั้งกี่ครา สุดท้ายก็ต้องโคจรมาพบกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง

หลายคนมักบอกว่า ความรักคือความเข้าใจ ความรักคือสิ่งสวยงาม ความรักคือการต้องดูแลซึ่งกันและกัน ฯลฯ

แต่ไม่ว่าความรักจะคืออะไร ก็สุดแท้แต่เราจะสรรหาถ้อยคำมาใช้ร้อยเรียงให้ไพเราะเพราะพริ้ง เพราะเนื้อแท้ของความรัก

นอกจากพื้นฐานที่เชื่อว่าต้องเป็น “คู่แท้” กันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรเสริมต่อคือ ต้องรู้สึกรักเหมือนวันแรกที่ทำความรู้จักด้วย มิใช่เป็นคู่แท้ในความหมายของ “คู่ชีวิต” ที่อยู่กินแต่ไม่เคยคุยกันจนตายจากกันไป

หากถามว่า “ความรักคืออะไร”

คงต้องย้อนถามกลับว่า “นิยามรัก” ของคุณที่มีต่อกันนั้นเป็นเช่นไร…