รายงานพิเศษ : “ดาจิม” นักร้องผู้หายไป เพราะการตัดสินใจ “พลาด”

ต้องบอกในช่วงปี 2544 และต่อมาอีกหลายปีนับจากนั้น ดาจิม-สุวิชชา สุภาวีระ ถือเป็นนักร้องที่โด่งดังมากที่สุดคนหนึ่งของบ้านเรา

ดังในฐานะนักร้องใต้ดิน แร็ปเปอร์คนเก่งที่ทำเพลงเสียดสีสังคม เพลงที่แม้จะมีบางคนมองว่าใช้คำหยาบคายและส่อไปในทางลามก หากกระนั้นด้วยเนื้อหาเพลงที่โดนใจเพราะวิพากษ์วิจารณ์หลายสิ่งก็ให้เขาถูกจับตามอง

อดีตพนักงานร้านขายเทป ทาวเวอร์ เรคคอร์ด ที่นึกสนุกจับมือเพื่อนทำเพลง และมีผลงานแรกในปี 2543 ชุด “Hip Hop Under World” ก่อนจะมาโด่งดังในชุดที่ 2 “Hip Hop Above the Law” เล่าว่าช่วงนั้น งานของเขาได้รับความนิยมมากจริงๆ

“คิดดูสิ เราเป็นเพลงใต้ดิน ไม่มีค่าย แต่เรามีคอนเสิร์ต ไปเล่นชลบุรี โคราช แล้วเรามียอดขายเทปมากกว่าศิลปินบนดิน” ดาจิมยกความหลังมาเล่า

หลังจากนั้นเขาก็ได้รับการทาบทามจากค่ายจีนี่ เรคคอร์ดส ของเครือใหญ่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จึงตัดสินใจขึ้นมาอยู่บนดิน และมีผลงานอัลบั้ม ชุด “แร็พไทย” ในปี พ.ศ.2545 และต่อมาอีกหลายชุด

ขอบคุณภาพจาก YOUTUBE GMM Grammy

ก่อนจะตัดสินใจกลับลงใต้ดินอีกครั้ง เมื่อหมดสัญญาในราวๆ ปี พ.ศ.2550

แล้วก็ค่อยๆ หายไปนับจากนั้น

“มาทำอัลบั้มใต้ดินของตัวเอง ออกมาขายปี 2552 แล้วคนอาจจะไม่ค่อยได้เห็น เพราะไม่ค่อยได้ออกสื่อ”

ก็แน่ละ เพราเป็น “ใต้ดิน” นี่

ดังนั้น พอปี 2554 จึงตัดสินใจขึ้นมาบนดินอีกครั้ง โดยทำงานค่ายเพลงเล็กๆ ชื่อ มาสคอต ออก 2 ซิงเกิล ซึ่งนึกว่าจะดี หากก็ไม่

“เพราะตอนนั้นยุคโซเชียลมาแล้ว แล้วก็เป็นยุคที่ปราบ mp3 ไม่ได้”

เจออย่างนี้เข้า เขาก็มุดลงไปอีกครั้ง

ทั้งนี้ ถ้าจะตีความคำ “หาย” ว่าหมายถึง “ไม่ปรากฏ”, “สูญ”, “หมด”, “สิ้น” ดาจิมก็ว่า อย่างนั้นเขาเองไม่ได้หายไปไหน เพราะยังคงทำเพลงปล่อยออกมาให้ฟังปีละเพลง ไม่ก็ 2 ปีเพลงอยู่

เป็นการทำแบบหลากหลายแนว ตาม “อารมณ์”

“เคยทำเพลงบนดินแบบเปิดวิทยุได้ แล้วอีก 6 เดือนก็ทำแบบใต้ดินหยาบคาย อยู่ที่อารมณ์เรา แล้วพออีก 1 ปี ก็ทำเพลงเร็กเก้” เล่าพลางหัวเราะ

อย่างไรก็ดี ถ้าจะตีความคำว่า “หาย” ว่าหมายถึง “หาไม่เจอ” เขาก็ยอมรับว่าตัวเองหายไปจริงๆ

“พอไม่ได้มีค่ายเป็นค่ายใหญ่ ไม่ได้ออกสื่อ ออกทีวีชัดเจน คนก็ตามไม่เจอ แล้วอีกอย่าง งานของผมเป็นคอนเสิร์ตจ้าง เล่นต่างจังหวัดเป็นหลัก ในกรุงเทพฯ มีบ้างในผับ บาร์ แต่น้อย”

“ก็มีงานก๊อกแก๊กอยู่เรื่อยๆ” เขาว่า

แต่ถึงจะก๊อกแก๊กอย่างนั้น เขาก็สามารถอยู่ได้ แถมอยู่อย่างสบายใจอีกต่างหาก

“ทุกวันนี้ผมใช้วิธีของผม ซึ่งโอเค มันอาจจะได้น้อย แต่ก็สบายใจ คือผมทำเพลงนึงมา แล้วก็ทำเอ็มวี ลงทุนเอง แล้วก็ไปฝากโบรกเกอร์ หาคอนเน็กชั่นกับโบรกเกอร์เยอะๆ คนที่ขายงานคอนเสิร์ตให้เรา บอกว่ามีเพลงใหม่นะ หรือไม่ก็วิ่งเข้าหาสายดีเจตามผับ เพราะเพลงเราส่วนใหญ่เล่นในผับให้เขาเปิดเอ็มวี หรือไม่ก็จ้างเราไหม รายได้หลักมาจากตรงนี้ ตอนนี้ขายเทป ขายซีดีไม่ได้ไง”

ทั้งนี้ ดาจิมในวัย 40 ปี ยอมรับว่าปัจจุบันเขามีงานไม่เยอะ แต่ “เดือนหนึ่งผมได้แบบเดือนละงาน ผมอยู่ได้ เพราะผมไม่มีหนี้สินอะไร”

และก็ยังไม่มีครอบครัว

“ก่อนหน้านี้เคยทำทีเชิ้ตขาย มันก็ไม่ใช่รายได้ที่อยู่ได้”

“สมัยตอนดัง 2545-2546 เคยทำผับที่รัชดาซอย 4 ก็เจ๊ง การทำผับไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วทำได้ มันมีรายละเอียดมากกว่านั้น อีกอย่างเราไม่ใช่ตัวจริงด้วย มีแค่ชื่อกับเงินนิดหน่อย ร่วมหุ้นกันหลายหุ้น”

“แล้วก็เคยไปใช้ชีวิตอยู่เกาะล้านครึ่งปี อยู่กับเพื่อนที่เขาทำบาร์เหล้าแบบฝรั่ง มีดีดกีตาร์บนหาด เราก็ไปทำหุ้นลม ไม่ลงเงิน แต่เอาชื่อเสียงไปช่วย”

ก่อนจะมาจบด้วยการเล่นคอนเสิร์ตดังว่า

ถามนักร้องซึ่งผลงานเพลงอย่าง “โยกย้าย” ยังอยู่ในใจคน ว่าถ้าย้อนนึกกลับไป อะไรคือจุดที่ทำให้ชีวิตคนดังที่มีชื่อเสียงอย่างเขาพลิกผันขนาดนี้ เจ้าตัวก็บอกทันที

“ผมคิดว่าผมตัดสินใจอะไรบางอย่างผิดไป”

“เรื่องผมมีอะไรมาเยอะ คือเกี่ยวกับแฟนเพลงนี่แหละ” ดาจิมบอกพลางยิ้ม

แล้วจึงไล่เรียงเล่า บอก “ก่อนจะอยู่บนดิน ผมดังมาจากเพลงใต้ดิน”

ใต้ดินที่อยากแต่งเนื้อยังไงก็แต่ง แรงแค่ไหนก็ไม่ (ค่อย) มีปัญหา ดังนั้น พอมาอยู่บนดิน ทำเพลงกับค่ายใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีกรอบความเหมาะสมกำหนด

“แฟนเพลงผมที่อยู่ใต้ดินเขาก็ไม่ชอบ เพราะเพลงมันเบากว่า พอหมดสัญญากับบนดิน ก็ตัดสินใจกลับมาทำใต้ดิน 1 อัลบั้ม 15 เพลงเต็มๆ แต่กลายเป็นว่าขายไม่ได้ เพราะอยู่ในยุคที่ mp3 กำลังเกิดเลย พอเราวางแปะวันแรกวันที่ 1 วันต่อมา mp3 เต็มไปหมด”

“ขายของจริงไม่ได้”

ผลคือเจ๊งกับเจ๊ง

“กลายเป็นว่าพออยู่บนดินแฟนคลับไม่ชอบ พอกลับมาใต้ดินแฟนเพลงก็ไม่ซื้อของแท้”

นี่เองเขาถึงว่า ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าอยู่บนดินกับใต้ดินมีค่าเท่ากัน สู้อยู่บนดินเสียดีกว่า เพราะอย่างน้อยชื่อ ดาจิม ก็จะไม่หายไปจากสื่อ

“เสียดาย”

“มันเป็นการตัดสินใจที่พลาด”