ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 มีนาคม - 6 เมษายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
หนังเรื่องนี้เกือบจะตกสำรวจไปแล้วเชียว หลังจากที่ได้ดูมาพักใหญ่หลายเดือนแล้ว
รับรองว่าจะทำให้อมยิ้มไปแทบทั้งเรื่องและอารมณ์ดีหลังจากดูจบ
…ความยาวสามชั่วโมงเจ็ดนาทีของหนังเป็นไปตามมาตรฐานบอลลีวู้ด เขาว่าหนังอินเดียถ้าไม่ยาวแขกไม่ดูค่ะ เสียเงินไปดูหนังแล้วทั้งที ต้องยอมเสียเวลานั่งให้คุ้มค่า…
เป็นหนังสุดยอดแห่งความบันเทิงแบบที่เรียกว่า “เมโลดราม่า” หวือหวาสุดกู่เลยเชียวล่ะ
นอกจากอาการอมยิ้มแก้มตุ่ยแล้ว ยังต้องอ้าปากค้าง ขากรรไกรค้าง และตาค้างด้วยอาการตะลึงตะไลเหลือเชื่อและคาดไม่ถึงในหลายบทหลายตอน โดยเฉพาะต่อความเก่งกาจเกินมนุษย์มนาของพระเอกทั้งคู่
ที่เพิ่งมาได้ฤกษ์เขียนถึงตอนนี้ เพราะเพิ่งมีเรื่องสะกิดให้นึกถึงจากการประกาศผลรางวัลเพลงยอดเยี่ยมสำหรับภาพยนตร์
แม้จะมีเค้าโครงจากตัวบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ชนชาติอินเดียช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบ ซึ่งถูกอังกฤษปกครอง…ที่เรียกว่า “ยุคราช” (Raj)…แต่ก็เป็นเรื่องจริงแบบอิงนิยายเสียละมาก
สะท้อนให้เห็นความบีบคั้นของคนที่โดนกดขี่ข่มเหงรังแกอย่างไม่เห็นหัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความน่าชิงชังของยุคที่คนผิวขาวแผ่อิทธิพลเพ่นพ่านไปทั่วโลกเพื่อยึดครองให้ตกเป็นอาณานิยมของตัวเอง
ตามหัวข้อคอลัมน์ข้างต้น ซึ่งพลิกด้านจากสำนวนปกติว่า “ตัวเป็นไท ใจเป็นทาส” ให้เป็น “ตัวเป็นทาส ใจเป็นไท”
เหตุการณ์ในเรื่องสะท้อนให้เห็นภาพขบวนการปลดปล่อยอินเดียจากการถูกกดขี่ข่มเหงโดยชนผิวขาว ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้ก้าวไปถึงขั้นขบวนการเรียกร้องเอกราชเต็มรูปแบบ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งในความเป็นมาเป็นไปและการที่ต้องลุกฮือขึ้นขับไล่ทรราช
อินเดียได้รับเอกราชเมื่อ ค.ศ.1950 และเหตุการณ์ในหนังเกิดในราว ค.ศ.1920 โดยที่หนังนำการต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมในชีวิตของวีรบุรุษนักสู้ชาวพื้นเมืองสองคนที่ต่างคนต่างอยู่และไม่เคยได้พบปะเจอะเจอกันในชีวิตจริงเลย มาผสานเข้าด้วยกัน
วีรบุรุษทั้งสอง ผู้มีอนุสาวรีย์รูปปั้นเป็นเครื่องเชิดชูเกียรติมาถึงปัจจุบัน คือ
โกมาราม ภีม (Komaram Bheem) และ อัลลูรี สีตารามา ราชู (Alluri Sitarama Raju)
เอส. เอส. ราชาโมลี (อ่านแบบไทยๆ จากชื่อ S.S. Rajamouli) ผู้สร้างเรื่องราว เขียนบทและกำกับหนัง ให้สัมภาษณ์ว่าได้รับแรงบันดาลใจจากหนัง The Motorcycle Diaries เกี่ยวกับชีวิตของวีรบุรุษนักปฏิวัติในอเมริกาใต้ ผู้กลายเป็นใบหน้าหนวดเคราครึ้มจากโปสเตอร์หรือท้ายสิบล้อ คือ เช กูวารา ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี
นอกจากนั้น ราชาโมลียังเริ่มคิดสร้างสรรค์บทหนังด้วยวลีที่เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสรรค์งานศิลปะ คือ
What if?
“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า…” หรือสั้นๆ ว่า “ก็ถ้า…”
ในที่นี้คือ…ก็ถ้าวีรบุรุษร่วมสมัยทั้งสองที่ต่างฝ่ายต่างต่อสู้เพื่อปลดแอกให้แก่ชนเผ่าของตน ได้เจอะเจอกันและกลายมาเป็นเพื่อนกันล่ะ
นั่นคือที่มาของ RRR
ซึ่งมีที่มาคือ ตัวอาร์ทั้งสามนี้เป็นตัวย่อจากชื่อของผู้ที่ร่วมแรงร่วมใจกันในโครงการภาพยนตร์เรื่องนี้นับแต่แรกคือ ผู้กำกับฯ (Rajamouli) และนักแสดงนำสองคน (Rama Rao และ Ram Charan)
ตอนเปิดตัวโครงการ ซึ่งยังไม่มีชื่อหนังที่แน่นอน เลยเอาอักษรย่อของชื่อทั้งสามมาประสมกัน
ครั้นต่อมา ก็เลยคิดหาที่มาเอาจากเนื้อในของหนัง
ไม่ว่าจะเป็น Roudram Ranam Rudhiram (Fierce Death Blood) ในภาษาเตลูกู ซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่ใช้พูดกันในหนัง
หรือปรับให้กลายเป็นภาษาอังกฤษว่า Rise Roar Revolt
หรืออักษร R จากตัวสะกดในคำที่เป็นชื่อตอนของหนัง คือ stoRy, fiRe, wateR
พระเอกทั้งสองมีความมุ่งมั่นสู้ไม่ถอย ฝ่าฟันไปข้างหน้าไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดมาขัดขวาง ทั้งเก่ง ทั้งแกร่ง ทั้งกล้าเหนือคนธรรมดาไปตั้งอยู่บนแท่นของวีรบุรุษขั้นเทพ
ซึ่งหนังชูให้สูงเลิศลอย ดังนั้น จากชื่อเสียงเรียงนามของวีรบุรุษนักสู้นั้นเอง ซึ่งได้มาจากตำนานเทพที่กลายเป็นมหากาพย์เรื่องสำคัญของอินเดีย-รามายณะ และมหาภารตะ
ภีมะ จากมหาภารตะ เป็นหนึ่งในนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ตระกูลเการพ
และภีม (เอ็น.ที. รามา ราว จูเนียร์) เป็นชื่อของพระเอกชาวพื้นเมืองชนเผ่ากอนด์ ซึ่งมีเด็กหญิงตัวน้อยถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อคนทั้งหมู่บ้าน เนื่องจากพรสวรรค์ทางศิลปะของแม่หนูน้อยไปเข้าตาภริยาผู้เย่อหยิ่งจอมโหด (อลิสัน ดูดี้) ของข้าหลวงอังกฤษประจำอินเดีย (เรย์ สตีเวนสัน)
ส่วนราม หรือพระราม นั้นคนไทยเรารู้จักกันดีอยู่แล้วจากวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ ที่ได้อิทธิพลมาจากรามายณะของอินเดีย
อัลลูรี สีตารามา ราชู (ราม ชารัน) แฝงตัวมาอยู่ในกองรักษาความปลอดภัยของอังกฤษ เพื่อชิงอาวุธปืนจากคลังแสงไปติดอาวุธให้เพื่อนร่วมขบวนการต่อต้านการกดขี่ของอังกฤษ ราชูจะได้ภาพของพระรามที่ถูกลักพาตัวไป…เหมือนนางสีดาที่ถูกลักพาตัวไปยังกรุงลงกา…จนไปเจอรูปปั้นของเทพเจ้าผู้มีธนูเป็นอาวุธประจำองค์กลางป่า เลยใช้คันศรและลูกธนูแผลงศรใส่ศัตรูจนวอดวายราพณาสูรไป
เพลงประกอบภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลไป คือเพลง Naatu Naatu ซึ่งแปลว่า Dance Dance และเปิดตัวในวินาทีที่คาดไม่ถึงที่สุด…เป็นการหักมุมจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก…
เป็นการชิงชัยในสนามแข่งระหว่างชนผิวขาวกับคนพื้นเมืองอินเดีย เรื่องราวกำลังเข้มข้นถึงขั้นใกล้จะปะทะลงไม้ลงมือกันแล้วเชียว ทว่า การต่อกรกลับกลายเป็นการเต้นแบบสุดชีวิตจิตใจของฝ่ายอินเดีย พระเอกสองคนเต้นด้วยสเต็ปอันทรงพลังท่ามกลางเสียงเชียร์และสายตาชื่นชมจากฝ่ายสตรีอังกฤษ
เป็นนาทีที่น่าจดจำอย่างยิ่งจุดหนึ่งของหนัง แล้วยังมีการต่อสู้อีกหลายฉากที่ชวนตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นฉากพระเอกสยบพยัคฆ์เจ้าป่าหรือเสือโคร่งตัวโตด้วยมือเปล่าแบบฉิวเฉียด
ฉากที่พระเอกอีกคนต่อสู้กับฝูงชนนับหมื่นโดยลำพังคนเดียว
ฉากที่พระเอกทั้งสองร่วมแรงร่วมใจร่วมมือกันช่วยเด็กชายที่ตกอยู่ในกองเพลิงกลางน้ำ และทำสำเร็จอย่างฉิวเฉียด
ฉากที่พระเอกโดนเฆี่ยนประจานต่อหน้าฝูงชน เพื่อให้คุกเข่ายอมสยบราบคาบต่อผู้ปกครองที่กดขี่ เลือดโชกท่วมตัวแทบสิ้นสติสมปฤดี แล้ววินาทีนั้นพระเอกก็ร้องเพลงออกมาด้วยวลีที่เป็นชื่อของตัวเอง “โอ…โกมารัน ภีม” ซึ่งกระตุ้นให้ฝูงชนฮึกเหิมจนก่อจลาจลขึ้น
นี่เป็นหนัง “อินเดี้ย-อินเดีย” ค่ะ เป็นความสนุกเร้าใจ ชวนเพลิดเพลินและทำได้ดีมากในองค์ประกอบต่างๆ
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงได้ชนะใจคนดูทั่วโลกไปได้ในเวลารวดเร็ว… •
RRR
กำกับการแสดง
S.S. Rajamouli
นำแสดง
N.T. Rama Rao Jr.
Ram Charan
Ajay Devgn
Alia Bhatt
Ray Stevenson
Alison Doody
Olivia Morris
ภาพยนตร์ | นพมาส แววหงส์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022