ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 พฤศจิกายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | วิถีแห่งอำนาจ |
ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
เผยแพร่ |
วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร
เตลิดไปในหุบเขาร้าง (111)
หลังความประหวั่นลนลาน เอี้ยก่วยค่อยกลับคืนสู่ความเยือกเย็น ใช้มือซ้ายจี้สกัดจุดโกยแจบนไหล่ขวา ฉีกผ้าปูที่นอนมัดพันหัวไหล่ห้ามโลหิต แล้วพอกยาสมานบนปากแผล
ยกมือเกาะผนังเดินช้าๆ ออกไป
ได้ยินก๊วยเจ๋งร้องดังๆ “เขาเป็นอย่างไรบ้าง โลหิตหยุดไหลแล้วหรือไม่” น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความร้อนรุ่ม ในใจเอี้ยก่วยเพียงครุ่นคิด “เราไม่ขอพบหน้าก๊วยแป๊ะแปอีก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ขอพบกับเขา”
สูดลมหายใจโดยแรง ถาโถมออกจากห้อง จูงม้าตัวหนึ่งพลิกตัวขึ้นบนหลังควบขับออกไปจากประตูเมือง กระตุ้นไปตามทำเลเปลี่ยวร้างพลางครุ่นคิด
“เราถูกพิษดอกรักแต่ล่วงเลยกำหนดเวลายังไม่ตาย อาจเป็นเช่นคำบอกของหลวงจีนชมพูทวีปใช้ปากดูดพิษของเข็มเงินน้ำแข็งเย็นทำให้พิษจู่โจมพิษกลับยืดชีวิตอีกต่อไป แต่พิษร้ายยังไม่ถูกขจัด จะช้าเร็วต้องกำเริบ
“ยามนี้รับบาดเจ็บสาหัสหากไปยังภูเขาจงน้ำเพื่อเสาะหาโกวโกวคงไม่อาจประคับประคองไปถึง หรือชะตาชีวิตลิขิตไว้ว่าต้องจบชีวิตในระหว่างทาง”
หวนนึกถึงตัวเองอาภัพอัปภาคย์อดหลั่งน้ำตาออกมามิได้
เอี้ยก่วยฟุบร่างบนหลังม้า สติเคลิบเคลิ้มเลอะเลือนเพียงหวังว่าไม่ถูกก๊วยเจ๋งเสาะพบ ไม่เผชิญกับกองทัพมองโกล ไม่ว่าไปถึงที่ใดก็ได้
แต่คล้ายจงใจคล้ายไร้เจตนากลับเหยียบย่างสู่หุบเขาร้าง
ยามพลบค่ำย่ำสนธยา เห็นรอบข้างปรากฏหญ้าคาสูงท่วมเข่า ทุกที่ทางเงียบสงัดงัน คาดว่ารอบบริเวณไร้ผู้คนจึงล้มตัวลงหลับใหลในพงหญ้า ยามนี้เอี้ยก่วยไม่นำพาความเป็นตายตั้งแต่แรก ไม่ได้ระวังป้องกันหนอนพิษ สัตว์ร้ายอันใด
คืนนี้ปากแผลปวดแปลบอย่างรุนแรง ไหนเลยหลับสนิทได้
เช้าอุษาสางของวันใหม่ลืมตาตื่นลุกขึ้นนั่งเห็นที่ห่างไปไม่ถึง 1 เชียะมีตะขาบ 2 ตัวแข็งทื่อนอนตายอยู่บนพื้น ลำตัวตะขาบสีแดงดำลายพร้อยน่าสะพรึงกลัวยิ่ง ที่เขี้ยวกลับแปดเปื้อนคราบโลหิต เอี้ยก่วยตื่นตระหนกยิ่ง
เห็นรอบตัวตะขาบมีคราบโลหิตกองใหญ่ ขบคิดแล้วเข้าใจสาเหตุเลศนัย
ที่แท้ปากแผลของเขามีโลหิตไหลหลั่งออกมา ในโลหิตมีพิษร้ายกลับแพร่พิษใส่ตะขาบทั้ง 2 ตัวกระทั่งตายไป
“คิดไม่ถึง พิษในโลหิตของเราแม้แต่ตะขาบยังต้านทานไม่ได้”
ยามนั้นบังเกิดความคับแค้นรันทดจนยากสะกดอารมณ์ อดแหงนหน้าหัวร่อดังๆ อย่างยาวนานออกมามิได้
ยืนยันในวิกฤตมีโอกาส แม้จะเป็นโอกาสอันเลวร้ายยิ่งก็ตาม
หลังเสียงหัวร่อก้องสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขาร้าง พลันได้ยินบนยอดเขาบังเกิดเสียงร้องของปักษาดังขึ้น 3 คราติดต่อกัน
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ประจักษ์
ประจักษ์อินทรีเชิดหัว ยืดอก ยืนอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง รูปลักษณะอัปลักษณ์ดุร้าย แต่ก็แฝงอำนาจอันน่าเกรงขาม
เอี้ยก่วยยินดียิ่งคล้ายพบพานญาติก็มิปาน
“พี่อินทรี พวกเราพบกันอีกแล้ว” หลังคำทักทายของเอี้ยก่วย อินทรีส่งเสียงร้องตอบดังยาวนานเหมือนขานรับ พุ่งโถมลงจากยอดเขา
ทวิชาติตัวนี้มีน้ำหนักมาก ช่วงปีกสั้นบินไม่ได้แต่วิ่งเร็วราวกับม้าป่า เพียงชั่วพริบตาก็มาอยู่ข้างกายเอี้ยก่วย เห็นเอี้ยก่วยสูญเสียแขนไปข้างหนึ่งก็จับจ้องมองตาไม่กะพริบ
“พี่อินทรี ข้าพเจ้าประสบเภทภัย รุดมาพึ่งพิงท่านเป็นพิเศษ”
พลันอินทรีหมุนตัวเดินไป เอี้ยก่วยติดตามอยู่ด้านหลัง เพียงเดินตามไม่กี่ก้าวอินทรีก็หันกลับขยับปีกซ้ายตีใส่ท้องม้า ม้าแผดเสียงร้องออกมา ถอยร่นไปหลายก้าว เอี้ยก่วยคลายมือจากการยึดบังเหียน ก้าวตามอินทรีไป
แน่นอน การพบระหว่างเอี้ยก่วยกับอินทรีในหุบเขาร้างมิได้เป็นการพบหนแรก ก่อนหน้านี้มันเคยพบมาแล้วหนหนึ่ง
จึงสามารถทักทาย สื่อสารกันได้
อินทรีไม่รู้ภาษาคน เอี้ยก่วยไม่รู้ภาษานก แต่ก็สามารถสื่อกันได้
เป็นการสื่อระหว่างใจถึงใจ เป็นการสื่อด้วยความรัก ด้วยความปรารถนาดี