ภาพยนตร์ : THE POWER OF THE DOG ‘ชายชาตรี’ / นพมาส แววหงส์

 

 

THE POWER OF THE DOG

‘ชายชาตรี’

 

กำกับการแสดง

Jane Campion

 

นำแสดง

Benedict Cumberbatch

Kirsten Dunst

Jesse Plemons

Kodi Smit-McPhee

 

The Power of the Dog เป็นหนังที่ทรงพลังยิ่ง ในลักษณะการศึกษาตัวละครที่เนียนละเอียดและน่าสนใจ รวมทั้งตอนจบที่ลงเอยแบบที่ไม่นึกไม่ฝัน และต้องอาศัยการตีความ

แต่ก็ไม่ใช่หนังที่ดูง่ายนะคะ เดินเรื่องช้าๆ และละเมียดละไม ด้วยฝีมือกำกับฯ ของเจน แคมเปียน ผู้กำกับฯ สาวแดนเมารี ซึ่งเคยทำหนัง The Piano จนได้ออสการ์ไปครอง

แถมอัดแน่นไปด้วยรายละเอียดที่ปูทางและเสริมให้เข้าใจตัวละคร เรื่องราวที่เกิดขึ้น และพัฒนาไปสู่จุดหมายปลายทาง

ไม่บ่อยนักที่จะได้เจอหนังที่นึกอยากดูซ้ำอีกรอบ เพื่อกลับไปเก็บรายละเอียดปลีกย่อยให้หมดจด ซึ่งการดูหนแรกแบบยังไม่รู้ทิศทาง ปล่อยผ่านไปโดยยังไม่รู้เหนือรู้ใต้

หนังสร้างจากนวนิยายที่เขียนโดยโธมัส ซาเวจ โดยวางท้องเรื่องไว้ที่ไร่ปศุสัตว์ในรัฐมอนทานา เมื่อ ค.ศ.1925 แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิดเมื่อสองปีที่ผ่านมา ผู้กำกับฯ ชาวนิวซีแลนด์จึงเลือกโลเกชั่นบนเกาะในซีกโลกใต้ ซึ่งเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำ Lord of the Rings ของปีเตอร์ แจ๊กสัน มาแทนทิวเขารูปทรงแปลกและท้องทุ่งกว้างใหญ่ไพศาลของมอนทานา

เหมือนจะเป็นหนังเคาบอยตะวันตก แต่เรื่องราวจะทำให้นึกถึงชีวิตสมบุกสมบันกลางป่ากลางเขาและความละเมียดละไมของอารมณ์ความรู้สึกเหมือน Brokeback Mountain ของ Ang Lee มากกว่า

เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ กำลังมาแรงในช่วงนี้ค่ะ และน่าจะยังไปได้โลดในอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกล

แม้ใครอาจจะรู้จักเขาในบทซูเปอร์ฮีโร่ที่ติดตาอย่างบทของ Dr. Strange ในจักรวาลของมาร์เวล แต่เราก็เคยเห็นเขาเล่นบทดราม่าหนักๆ ที่กินใจมาแล้ว โดยเฉพาะใน The Imitation Game (2014) เรื่องราวชีวิตอันสะท้อนสะเทือนใจชวนสลดของอลัน ทัวริง อัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ผู้คิดค้นสมองกลที่เป็นต้นแบบของคอมพิวเตอร์ที่เป็นกลไกขับเคลื่อนโลกสมัยใหม่ของเราอยู่ในปัจจุบัน

โดยเฉพาะเมื่อได้ฝีมือกำกับฯ อันประณีตละเมียดละไมของเจน แคมเปียน ผู้ละเอียดกับการศึกษาและนำเสนอแคแร็กเตอร์อันซับซ้อนและเล่าเรื่องได้อย่างเหนือชั้น

แต่ก็ต้องบอกเสียก่อนว่านี่อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคนนะคะ

ดูเหมือนไม่มีอะไรปะทุขึ้นเปรี้ยงปร้างท่ามกลางความขัดแย้งของตัวละครที่ร้อนระอุกรุ่นอยู่ภายในเหมือนไฟสุมขอน เรื่องราวเดินไปช้าๆ แต่มั่นคง เต็มไปด้วยนัยยะที่แฝงอยู่เบื้องหลัง

หนังเริ่มด้วยเสียงตัวละครชายพูดโปรยเป็นความว่า ตั้งแต่พ่อตาย เขาก็ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องปกป้องแม่ให้ปลอดภัย และไม่มีอะไรที่เขาจะทำไม่ได้เพื่อแม่

ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญมากสำหรับการตีความในตอนจบของเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น

โรส กอร์ดอน (เคอร์สเตน ดันสต์) เป็นแม่ม่ายซึ่งสามีฆ่าตัวตาย โดยที่ปีเตอร์ (โคดี สมิต-แม็กฟี) เป็นคนไปพบศพพ่อ โรสหาเลี้ยงชีพด้วยการเปิดร้านขายอาหารในเมืองเล็กๆ โดยมีปีเตอร์เป็นลูกมือ

วันหนึ่งสองหนุ่มเจ้าของไร่ปศุสัตว์ จอร์จ เบอร์แบงส์ (เจสซี เพลมอนส์) กับน้องชาย ฟิล (เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์) เดินทางผ่านมาพร้อมลูกน้องกลุ่มหนึ่ง และแวะมากินอาหารที่ร้านของโรส

ภาพลักษณ์ของฟิลที่ใครๆ เห็นคือเคาบอยกร้านแกร่งที่เป็นชายชาตรีเต็มตัว และเขาหยอกเย้าอย่างคะนองปากเมื่อเห็นปีเตอร์ทำงานเสิร์ฟอาหารด้วยท่าทางเรียบร้อย แถมยังบอกว่าเป็นคนทำดอกไม้ประดิษฐ์จากกระดาษที่ใส่แจกันอยู่บนโต๊ะอาหาร

ฟิลจงใจใช้ดอกไม้กระดาษจุดบุหรี่ที่สูบ และทำให้โรสร้องไห้เพราะสงสารลูกที่โดนข่มและทำร้ายจิตใจ

ซึ่งเป็นเหตุให้จอร์จเข้าไปปลอบเธอ และสานสัมพันธ์ต่อไปจนขอเธอแต่งงาน

ซึ่งทำให้ฟิลโกรธมาก เพราะมองว่าโรสเป็นนักขุดทองที่ฉวยโอกาสแต่งงานกับพี่ชาย ซึ่งเป็นเจ้าของไร่ปศุสัตว์ที่ร่ำรวยร่วมกับเขา

และเมื่อโรสย้ายมาอยู่ในบ้านไร่ของคหบดีในมอนทานา ฟิลก็แสดงความจงเกลียดจงชังจนออกนอกหน้า และเล่นเกมยั่วประสาทโรสอยู่ตลอดเวลา จนโรสอยู่อย่างไม่มีความสุขเลยในบ้านของสามีผู้สุภาพและอ่อนโยน

ในงานเลี้ยงอาหารที่จอร์จจัดเพื่อแนะนำตัวภรรยากับพ่อแม่ผู้ย้ายไปอยู่ในเมือง ทิ้งให้เขาอยู่ลำพังกับฟิลผู้เป็นน้องชาย โดยมีแขกรับเชิญเป็นคนใหญ่คนโตของรัฐมาด้วย

ฟิลไม่ยอมมาร่วมงาน และความกดดันในการออกสังคมครั้งแรกทำให้โรสต้องเริ่มดื่มเหล้า ทั้งๆ ไม่เคยดื่มมาก่อน และรังเกียจที่อดีตสามีเคยติดเหล้างอมแงม และต้องแอบดื่มอยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นคนติดเหล้า

 

ระหว่างช่วงหยุดเทอม ปีเตอร์ซึ่งกำลังเรียนแพทย์อยู่ในเมือง มาพักอยู่ที่ไร่ และตกเป็นเป้าการถากถางของฟิลอีกครั้ง

ปีเตอร์ซึ่งผอมชะลูดสะโอดสะองและมีท่าทางนุ่มนวลเหมือนผู้หญิง แต่หาญกล้าเดินเชิดหน้าอยู่ท่ามกลางหนุ่มลูกทุ่งบึกบึนทั้งหลาย

สะดุดตาฟิลจนเขาเริ่มเปลี่ยนทัศนะและท่าทีต่อหนุ่มน้อยกะร่อยกะริบคนนี้

และเมื่อฟิลชี้ให้ดูทิวเขาสลับซับซ้อน มีเหลี่ยมภูเขาให้เห็นเป็นรูปเงาจากแสงที่ตกต้องไกลออกไป และถามว่าเห็นอะไร ปีเตอร์ตอบทันทีว่า เห็นรูปสุนัขเห่า ซึ่งทำให้ฟิลอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง เพราะว่าก่อนหน้านี้มีเพียงเขากับคนอีกคนเดียวที่บอกว่าเห็นรูปแบบนี้

“บรองโก เฮนรี” เป็นชื่อที่ติดปากฟิลอยู่ตลอดเวลาในฐานะเพื่อนและครูที่สอนให้เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับงานในไร่ แต่บรองโก เฮนรี ก็หาชีวิตไม่แล้ว

ที่เหลือไม่เล่าต่อละนะคะ ไม่อยากให้เป็นสปอยเลอร์ ไปพูดเรื่องอื่นดีกว่า

รูปเงาภาพสุนัขเห่าที่ทิวเขาเป็น “สุนัข” ตัวเดียวที่ปรากฏอยู่ในเรื่องราว แม้ว่าหนังจะชื่อ The Power of the Dog ก็ตาม

และตอนท้ายหนังจะเฉลยถึงวลีนี้ว่ามาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยมาจากประโยคเต็มว่า “Deliver my soul from the sword, my darling from the power of the dog.” (จงปลดปล่อยดวงวิญญาณของข้าจากคมดาบ (และ) ที่รักของข้าจากอำนาจของสุนัข)

ซึ่งก็ทำให้ต้องตีความกันต่อไปอีกแหละค่ะว่า “สุนัข” นั้นคือใครหรืออะไรกันแน่

หนังมี “เงื่อนงำ” ไว้ให้โดยตลอดนะคะ เสียแต่ว่า ณ จุดที่เรื่องราวพัฒนามาถึงในตอนท้าย เราต้องมองย้อนกลับไปเพื่อจะได้เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง

หนังดีมากๆ เลยค่ะ และมีโอกาสสูงที่จะเข้าชิงออสการ์หลายรางวัลด้วย

สำหรับหลายคน หนังรางวัลก็อาจเป็นหนังที่สร้างความงุนงงพิศวงสงกาจนต้องพูดคุยอภิปรายกันต่อไปอีกนะคะ