ภาพยนตร์ : FAST & FURIOUS 9 ‘เร่งสปีดอีกขั้น’ / นพมาส แววหงส์

นพมาส แววหงส์

 

 

FAST & FURIOUS 9

‘เร่งสปีดอีกขั้น’

 

กำกับการแสดง

Justin Lin

 

นำแสดง

Vin Diesel

Michelle Rodriguez

Tyrese Gibson

Jordana Brewster

John Cena

Helen Mirren

Kurt Russell

Charlize Theron

 

ตัวเลขกำกับชื่อหนังบอกว่าเป็นเรื่องที่ 9 ในแฟรนไชส์ แต่ข้อมูลบอกว่าเป็นเรื่องที่ 10

หนังชุดนี้เริ่มด้วยเรื่องราวที่เน้นหนักอยู่ที่นักซิ่งบนถนนว่างๆ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนมิตรรักความเร็วทั้งหลาย เริ่มออกฉายใน ค.ศ.2001 โดยมีหนุ่มหล่อผมทอง พอล วอล์เกอร์ กับหนุ่มหล่อผิวดำ วิน ดีเซล เป็นคู่ตรงข้ามเชือดเฉือนกันในการซิ่งเข้าเส้นชัยแบบเส้นยาแดงผ่าแปด

เสียงตอบรับจากแฟนหนังล้นหลามจนต้องมีภาคต่อมา และต่อมา และต่อมา ฯลฯ

จนกระทั่งถึง F7 ซึ่งยังถ่ายทำไม่จบ ก็เกิดเหตุร้ายแก่วอล์เกอร์ ด้วยอุบัติเหตุที่ทำให้เขาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

หนังภาคนั้นต้องปรับบทใหม่กลางคัน หาตัวนักแสดงที่มีหน้าตาละม้ายพระเอก และใช้เทคนิคต่างๆ นานาช่วยดึงให้เรื่องราวจบลงไปได้โดยไม่ให้แฟนๆ อาลัยรักถึงตัวละครไบรอัน โอคอนเนอร์ จนน้ำตาท่วมจอนัก

แม้กระทั่งตัวละครสำคัญจะจากไปแล้ว แต่ความนิยมในแฟรนไชส์ก็ยังคงอยู่ ทำให้ผู้สร้างยังคงทำภาคต่อมาโดยไม่มีตัวละครเอก และให้วิน ดีเซล ก้าวขึ้นมารับบทเด่นโดยไม่ต้องอยู่ใต้ร่มเงาของพอล วอล์เกอร์

ดอมินิก “ดอม” โทเร็ตโต (วิน ดีเซล) จึงก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกคนใหม่ของแฟรนไชส์ชุดนี้แทน

และถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่จุดเริ่มต้น คนในกลุ่ม Fast & Furious แปรโฉมหน้าจากนักซิ่งบนท้องถนนและหัวขโมย กลายมาเป็นสุดยอดมือปราบและสุดยอดจารชนผู้เหี้ยมหาญไร้เทียมทาน ที่กระโดดข้ามจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศในชั่วพริบตา ด้วยการสนับสนุนขององค์กรลับ ภายใต้ชื่อของ “มิสเตอร์โนบอดี้” ที่ทำหน้าที่ควบคุมสวัสดิภาพของโลกให้พ้นจากมืออภิมหาวายร้าย ที่มุ่งหน้าจะครอบครองโลกไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ทว่าแฟรนไชส์ชุดนี้ไม่ได้สนใจกับความสมจริงของเรื่องราว อันที่จริง “ความสมจริง” นั้นโยนทิ้งไปหมดสิ้นได้เลย เพราะอะไรก็ตามเกิดขึ้นได้เสมอในหนังประเภทนี้

พูดง่ายๆ คือ นี่เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ประเภทหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ที่มาจากการ์ตูนภาพ เหมือนอย่างซูเปอร์แมน สไปเดอร์แมน เอ็กซ์เมน วันเดอร์วูแมน ฯลฯ ฯลฯ ที่กลายมาเป็นเนื้อหาสำหรับหนังอภิมหาแอ๊กชั่นในภาพยนตร์กระแสหลักที่ทำรายได้ถล่มทลายไปทั่วโลก

ต่อให้ไม่ใช่มนุษย์จอมพลังเหนือธรรมชาติ แต่พระเอกหรือฝ่ายพระเอกก็ทำได้ทุกอย่าง ไม่ผิดอะไรกับซูเปอร์ฮีโร่

ไม่ว่าจะขับรถฝ่าภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยกับระเบิด แบบที่ว่าเราจะได้เห็นระเบิดพุ่งกระจายขึ้น ลูกแล้วลูกเล่า เบื้องหลังตัวละครเอกแบบฉิวเฉียด โดยตัวละครผ่านพ้นมาได้แบบแทบไม่มีรอยขีดข่วน

หรือวิ่งหนีผู้ร้ายที่ยิงปืนกลถล่มหรือรัวใส่ โดยลูกปืนไม่ได้เข้าเป้าเลยสักนัด

คราวนี้ Fast & Furious ท้าทายกฎฟิสิกส์ ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติ โดยก้าวขึ้นไปอีกขั้น คือการประดิษฐ์รถที่ผูกติดกับจรวดและยิงออกไปนอกโลกในชั้นบรรยากาศ เพื่อสกัดกั้นการทำงานของดาวเทียมของผู้ก่อการร้ายระดับโลก

ให้เหลือเชื่อยังไงก็ไม่เกินเลยความเป็นไปได้ของหนังชุดนี้หรอกค่ะ

เพราะจุดประสงค์อย่างเดียวของหนังคือการให้ความบันเทิงสุดขีดโดยกระตุ้นการตอบสนองทางอารมณ์ กล่าวคือ ให้ฮอร์โมนอะดรีนาลินในคนดูพุ่งขึ้นสูงในการช่วยลุ้นให้พรรคพวกของพระเอกฝ่าวิกฤตผ่านพ้นไปตลอดรอดฝั่งอย่างเดียวก็พอ

ของต้องห้ามอย่างเดียวที่ห้ามคนดูเอาติดตัวไปในการดูหนังประเภทนี้ คือ การตั้งคำถามในเรื่องความเป็นไปได้และความสมเหตุสมผล

 

โดยสรุป คือไม่มีอะไรที่หนังทำไม่ได้ และยังไม่ได้ทำ

ไม่ว่าจะปลุกตัวละครที่ดับดิ้นตายไปต่อหน้าต่อตาใครๆ ในภาคก่อนๆ ให้ฟื้นขึ้นมาและหาเหตุผลเบื้องหลังให้แก่เหตุการณ์นั้น

หรือสร้างเรื่องราวเบื้องหลังชวนรันทดในครอบครัวของพระเอก ให้เป็นปมแค้นปมอาฆาตแบบตัดขาดกันไปไม่ต้องมาเผาผี ทว่าก็ยังต้องกลับมาเผชิญหน้าฟาดฟันกันอีกโดยอยู่คนละฝั่งคนละฝ่าย แต่กระนั้น ก็สามารถพลิกเรื่องกลับแบบทันควัน อย่างที่คนดูแทบตั้งตัวไม่ทันก็ยังไม่ผิดกติกาอะไรในการใช้เหตุผลของหนังประเภทนี้

นอกจากทีมงานต่อกรกับผู้ก่อการร้ายที่มีแผนการจะครองโลกไว้ในมือด้วยเทคโนโลยี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักแสดงผิวสีแล้ว นักแสดงระดับนำผิวขาวมีบทบาทที่เข้ามาแทรกตรงนั้นตรงนี้พอเป็นกระสาย

ไซเฟอร์ (ชาร์ลีซ เธอรอน) เป็นมนุษย์อันตรายที่บงการอยู่เบื้องหลัง และมีบทบาทเหมือนฮันนิบาล เล็คเตอร์ ผู้ยังมีพิษรอบตัวและสามารถพ่นพิษได้แม้จะอยู่เบื้องหลังกรงขังที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงสุด

มิสเตอร์โนบอดี้ (เคิร์ต รัสเซลล์) ยังคงอยู่เบื้องหลังทีมพระเอก แต่ก็โผล่หน้าออกมาให้เห็นน้อยมาก จนเหมือนแทบไม่มีบทบาทอะไรเลย

ควีนนี่ (เฮเลน มีร์เรน) จอมโจร หรือจะเรียกว่า “นางโจรมือฉมัง” เข้ามามีบทบาทเป็นผู้ช่วยพระเอก แต่ก็เป็นบทบาทที่น่าจดจำ และเท่สุดๆ จนไม่มีใครลืมได้

ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว สิ่งที่สะกิดใจผู้เขียนเมื่อดูหนังจบ ก็คือ ค่านิยมหรือคุณค่าที่หนังประเภทนี้ให้แก่ชีวิต ซึ่งสะท้อนออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนดูเหมือนจะเป็นการตอกย้ำ

นั่นคือ “ครอบครัวมาก่อนสิ่งอื่น” ความภักดีในหมู่เพื่อนฝูง และการยอมแลกชีวิตตนเองอย่างบ้าบิ่นเพื่อพวกพ้องของตน (ไม่อยากเรียกว่าเป็นอุดมการณ์ เพราะไม่ได้ดูเหมือนตัวละครพวกนี้ใช้ชีวิตภายใต้อุดมการณ์อะไร)

ข้อสังเกตคือค่านิยมเหล่านี้ดูจะมีอยู่มากในคนอเมริกันจากชนชั้นกรรมกร ซึ่งเรียกว่า พวกเรดเน็ก (red neck)

จบแค่นี้ดีกว่าค่ะ ไม่อยากโยงเข้าเรื่องการเมืองหรือการเลือกตั้งของอเมริกาให้มากความไปเปล่าๆ