ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 กันยายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
CHAOS WALKING
‘เวสเทิร์นอวกาศ’
กำกับการแสดง
Doug Liman
นำแสดง
Tom Holland
Daisy Ridley
Mads Mikkelsen
David Oyelowo
หนังเรื่องนี้สร้างจากนวนิยายไตรภาคสำหรับวัยรุ่นโดยแพทริก เนสส์ ซึ่งร่วมเขียนบทภาพยนตร์ด้วย และเนื่องจากชื่อนวนิยายฟังแล้วไม่น่าจะขายได้สำหรับแฟนหนังประเภทนี้ จึงเปลี่ยนชื่อเสร็จสรรพแบบไม่ทิ้งเค้าชื่อเดิมสักกระผีก…จาก The Knife of Never Letting Go (คมมีดของการไม่รู้จักปล่อยวาง) มาเป็น Chaos Walking (ความอลหม่านที่เดินได้)
ท้องเรื่องเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่วางกาลเวลาไว้ในอีกราวสองร้อยปีข้างหน้าบนดาวอันไกลโพ้นดวงหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในดาวที่มนุษย์อพยพไปตั้งถิ่นฐาน
สภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศก็ไม่ผิดอะไรจากโลกที่เราอยู่นักหรอก มีป่าเขาลำเนาไพร ภูเขา หุบเหว ลำธารและน้ำตกอย่างเดียวกับบนโลกเรานี้แหละ แต่ดูเหมือนจะไม่มีความมืดของกลางคืน ซึ่งก็ไม่ได้อธิบายขยายความให้เราเข้าใจแต่อย่างใด
ดาวดวงนี้เป็นอาณานิคมแห่งหนึ่งของมนุษย์โลก ซึ่งอพยพมาอยู่อาศัยและรบราฆ่าฟันกับเผ่าพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ผีดิบ ตัวดำปี๋เหมือนถ่าน แถมสิ่งมีชีวิตสปีชีส์นี้เพียงตัวเดียวที่เราได้เจอในหนัง ซึ่งมีท่าว่าจะดุร้ายไม่เป็นมิตร มีแขนขาดข้างหนึ่ง ซึ่งหนังก็ไม่ได้อธิบายอะไร
สงสัยจะเก็บไว้ให้เป็นที่ชวนพิศวงเพื่อจะได้อธิบายต่อในภาคต่อๆ ไปก็ไม่รู้
พระเอกของเรื่องชื่อ ท็อด ฮิววิตต์ (ทอม ฮอลแลนด์) ซึ่งหนังไม่ยอมให้เราลืมได้เลยว่าพระเอกมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร เพราะเขาท่องในใจให้เราได้ยินบ่อยๆ เกือบตลอดเวลาที่เจอะเจอผู้คน
ใช่ค่ะ ท่องในใจ แต่เราก็ได้ยินเสียงของความคิดอย่างที่หนังเรียกว่า “นอยซ์” (noise) เพราะด้วยสาเหตุพิสดารอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ บนดาวดวงนี้ผู้ชายทุกคนไม่ว่านึกคิดอะไร จะเห็นเป็น นอยซ์กระจายเหมือนรัศมีสีม่วงอมเขียวที่เปล่งออกจากหัวให้เห็นกับตา ไม่ว่าใกล้ไกลและได้ยินสิ่งที่พวกเขาคิดอยู่ในใจหมด
และเพื่อจะปิดบังความคิดที่เกิดขึ้นในหัวเมื่อเจอผู้คน ท็อด ฮิววิตต์ ก็จะท่องชื่อตัวเองซ้ำๆ ซากๆ ไปเรื่อยๆ ดังเช่นตอนที่เขาเจอชายขี่ม้าผ่านมา และจำได้ว่าเป็นนักเทศน์คลั่งศาสนา (เดวิด โอเยโลโว) ความคิดเชิงลบหลู่ของท็อดเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน ทำให้นักเทศน์ต้องหันหลังกลับมาหาเรื่องชกต่อย
ว่าได้ว่าบนโลกนี้พวกผู้ชายซ่อนอะไรจากกันไม่ได้เลย ไม่ว่าคิดอะไรในใจ ก็จะมีนอยซ์ดังออกมาให้ได้ยินกันหมด ยกเว้นแต่จะรู้จักวิธีเบี่ยงเบนซ่อนความคิดที่แท้จริงไว้
ส่วนผู้หญิงซึ่งสามารถเก็บงำความลับไว้กับตัวได้ ก็กลายเป็นพิษเป็นภัยจนต้องโดนขจัดให้พ้นไป
เมื่อเรื่องราวเปิดขึ้น ในหมู่บ้านเพรนทิสทาวน์ ซึ่งเรียกตามชื่อนายกเทศมนตรีเพรนทิส (แมดส์ มิกเคลเซน) ไม่มีผู้หญิงหลงเหลืออยู่สักคนเดียว เล่ากันว่าถูกฆ่าตายหมดด้วยน้ำมือของตัวประหลาดที่เป็นชนพื้นเมืองของดาวดวงนี้
ท็อดอยู่กับพ่อสองคนในไร่ปลูกพืชผล และไม่เคยเห็นผู้หญิงมาก่อนเลย นอกจากในความทรงจำอันเลือนรางถึงแม่ที่ตายไปแล้ว
จวบจนมียานอวกาศมาตกใกล้ๆ ไร่ของท็อด และคนรอดตายคนเดียวจากยานเป็นผู้หญิงซึ่งต่อมาเราจะได้รู้ว่าชื่อ ไวโอลา (เดซี ริดลีย์)
ท็อดตื่นเต้นกับการค้นพบของตัวเองมากจนยินดีรับเป็นภาระช่วยไวโอลาหลบหนีจากการจับกุมของเพรนทิสและชาวเมืองที่มองเห็นผู้หญิงเป็นตัวอันตราย
นี่เป็นการเริ่มต้นของการผจญภัยท่องแดนเถื่อนตะวันตก หรือ Wild West ในหนังเวสเทิร์นสมัยก่อน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนมาเป็นแดนด่านหน้าในอวกาศอันไร้พรมแดน
ภารกิจของไวโอลาคือการตามหาเครื่องส่งสัญญาณที่จะบอกยานแม่ให้รู้ตำแหน่งแหล่งที่ของเธอ ส่วนภารกิจของท็อดคือการเป็นมัคคุเทศก์นำทางไวโอลาไปสู่จุดที่เขาไม่อยากให้เธอทำได้สำเร็จเลย เพราะนั่นหมายถึงการต้องพรากจากหญิงในดวงใจคนเดียวไป ทิ้งให้เขาต้องกลับมาเดียวดายในโลกที่ไร้จุดหมาย
หนังมีสมมุติฐานที่วางไว้อย่างออกจะแปลกใหม่พอดู แต่น่าเสียดายที่การพัฒนาเรื่องไม่น่าประทับใจและน่าผิดหวัง
“ความอลหม่าน” ที่นอยซ์เป็นความคุกคามในโลกนี้ก็ไม่ใช่ความวุ่นวายสับสนอะไรนักหนา ความหมายของสมมุติฐานพิสดารบนโลกประหลาดนี้จึงไม่ค่อยเข้าเค้าเท่าไรนัก
นี่ดูจะเป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้หญิงเก่งเกินหน้าผู้ชายหลายขุม ถึงขั้นที่ผู้ชายทนไม่ได้จนต้องกำจัดให้หมดไปจากโลกของตัวเอง และพาตัวเองกลับสู่สังคมป่าเถื่อนไร้อารยธรรมไร้การศึกษา โดยต้องสร้าง “ลัทธิคลั่งศาสนา” ขึ้นเป็นเครื่องคุ้มกัน
ทอม ฮอลแลนด์ ในวัยใกล้เบญจเพส ยังคงดูหน้าเด็กพอจะเป็นพระเอกวัยรุ่นอ่อนหัดอ่อนโลกได้ดี และเดซี ริดลีย์ (“เรย์” จาก Star Wars ไตรภาคสุดท้าย) ก็ดูเป็นบทที่เหมาะสมกับเธอ
เรารู้แน่ว่านี่คือคู่พระคู่นางของเรื่องแน่ๆ เพียงแต่ว่านี่คือตอนแรกของหนังชุดไตรภาค เพราะงั้น เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงยังดูจืดชืด เหมือนแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ส่วนแมดส์ มิกเคลเซน ในบทนายกเทศมนตรีเพรนทิส ก็หน้าตาบอกยี่ห้อผู้ร้าย จนไม่เหลืออะไรให้คาดเดา มานึกย้อนไปแล้ว จำไม่ได้เลยว่ามิกเคลเซนเคยเล่นบทฝ่ายดีบ้างหรือเปล่า
หน้าตาเขาเป็นสเตอริโอไทป์ของผู้ร้ายใจหินจริงๆ
อย่างที่บอกแล้วว่าหนังออกจะน่าผิดหวัง ด้วยองค์ประกอบของการดำเนินเรื่องและไอเดียแปลกๆ ที่ไม่ได้นำไปสู่อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ผู้กำกับฯ ดัก ไลแมน (The Bourne Identity, The Edge of Tomorrow) คงนึกเพียงว่ายังเล่าเรื่องไม่จบ เลยยังไม่อยากเฉลยอะไรมาก แต่เมื่อนึกว่านี่คือหนังเดี่ยวเรื่องแรกในชุด ก็ทำให้ไม่นึกอยากติดตามดูภาคต่อไปอีก เพราะอะไรๆ ดูผิดที่ผิดทาง และไม่ลงตัวเลย
ตอนจบก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ายังมีอะไรน่าสนใจให้ดูอีก ยิ่งเมื่อเทียบกับไตรภาคชุด The Hunger Game ซึ่งตอนจบแต่ละตอนดูมีเรื่องค้างคาให้ชวนติดตาม เป็นแบบตอนจบที่เรียกว่า “ห้อยโหนอยู่บนหน้าผา” (cliff-hanger)
Chaos Walking จบลงกร่อยๆ เหมือนจะลงเอย ณ จุดนี้ก็เป็นอวสานของเรื่องราวทั้งหมดได้ ไม่ชวนให้ติดตามดูต่อ