คนมองหนัง : เมื่อชีวิตของ ‘นักทำเบียร์เม็กซิกัน’ เปลี่ยนแปลงไป เพราะหนัง ‘The Last Emperor’

คนมองหนัง

 

เมื่อชีวิตของ ‘นักทำเบียร์เม็กซิกัน’

เปลี่ยนแปลงไป

เพราะหนัง ‘The Last Emperor’

 

“The Last Emperor” ภาพยนตร์เมื่อปี 1987 ผลงานการกำกับฯ โดย “แบร์นาโด แบร์โตลุชชี” นักทำหนังชาวอิตาเลียน ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวชีวประวัติของ “ปูยี” (ผู่อี๋) จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน คือหนังที่สร้างประวัติศาสตร์เอาไว้หลายด้าน

ตั้งแต่การเป็นภาพยนตร์ของ “กองถ่ายจากประเทศในโลกตะวันตก” เรื่องแรกสุด ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้าไปถ่ายทำกันใน “พระราชวังต้องห้าม” ณ กรุงปักกิ่ง

ไปจนถึงการกวาด 9 รางวัลออสการ์ รวมถึงรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

“ลาสซโล ราฟาเอล” ชาวเม็กซิกัน-ผู้ร่วมก่อตั้งเครื่องดื่มเบียร์ยี่ห้อ “มูนเซน” ซึ่งมีฐานการผลิตที่ฮ่องกง คือหนึ่งในบุคคลที่ระบุว่า “The Last Emperor” คือ “ภาพยนตร์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขา”

 

ราฟาเอลลืมตาดูโลกที่เม็กซิโก ก่อนจะเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาใช้ชีวิตในฮ่องกงเป็นร่วมเวลาสิบปีแล้ว

ชาวเม็กซิกันผู้นี้เล่าว่าเขาได้ดูหนังเรื่อง “The Last Emperor” ในช่วงทศวรรษ 2000 ระหว่างที่ตนเองมีอายุยี่สิบกว่าๆ และภาพยนตร์ของแบร์โตลุชชีก็คือ “หน้าต่างบานแรกๆ” ที่ทำให้เขาได้ทำความรู้จักประเทศจีนและวัฒนธรรมจีน

โดย “ความทรงจำแรกๆ” ดังกล่าว ยังคงติดอยู่ในหัวของเขามาจนถึงปัจจุบัน

“แม้บางคนจะวิจารณ์ว่าหนังเรื่องนี้มองประเทศจีนด้วยสายตาแบบตะวันตกเอามากๆ แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ไม่ได้เป็น ‘หนังฮอลลีวู้ด’ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์” ราฟาเอลเผยทัศนะของตน

ถ้ามองจากมุมของคนในประเทศเม็กซิโก ราฟาเอลบอกว่าวัฒนธรรมของประเทศแถบเอเชียนับเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจเอามากๆ โดยเฉพาะวัฒนธรรมจีนที่เขาลุ่มหลงสนใจมาอย่างยาวนาน

“ผมรู้สึกสนใจในอารยธรรมขั้นสูงของวัฒนธรรมจีน และความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมดังกล่าวกับวัฒนธรรมของผม เพราะวิวัฒนาการทางปรัชญาที่ไม่เหมือนกัน”

 

สําหรับราฟาเอล ภาพยนตร์เรื่อง “The Last Emperor” ได้แสดงให้เขาเห็นว่า ในบางที ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งก็ถูกบีบให้ต้องเล่นเกมอะไรบางอย่าง ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นๆ จะอยากเล่มเกมดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม

นักทำเบียร์ชาวเม็กซิกันอธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ผู้คนจำนวนมากในยุคปัจจุบันอาจรู้สึกว่าพวกตนไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับวิถีชีวิตของจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง แต่ก็มีบางเรื่องที่ผู้ชมภาพยนตร์กับตัวละคร “ปูยี” อาจมีประสบการณ์ร่วมกัน

“เขา (ปูยี) คือคนที่มีอำนาจมหาศาล และตกอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ซึ่งอำนาจไปพร้อมๆ กัน คุณจึงทำได้แค่เพียงปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ด้วยเครื่องมือบางอย่างที่คุณมี และไพ่ชีวิตที่คุณถืออยู่” ราฟาเอลตีความภาพยนตร์รางวัลออสการ์ ก่อนวิเคราะห์ต่อว่า

“พวกเรา (ในยุคปัจจุบัน) จะทำอะไรไม่ได้มากนัก ถ้าหากเราไม่ยอมปรับตัวและไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ซึ่งฮ่องกงกำลังเผชิญหน้ากับสภาวะโรคระบาดและความขัดแย้งแตกแยกทางสังคม สิ่งเหล่านี้มันคล้ายคลึงกับประสบการณ์ของปูยีนั่นแหละ

“ผมไม่ใช่บุคคลในแวดวงการเมือง แต่เรากับจักรพรรดิองค์นั้นต่างมีความรู้สึกแบบเดียวกัน เมื่อต้องกระเด้งกระดอนไปมาอยู่ท่ามกลางพลังทางการเมืองกลุ่มต่างๆ และต้องใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์ (หน้าใหม่) กำลังถูกเขียนขึ้น”

 

เรื่องที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของ “ลาสซโล ราฟาเอล” มากที่สุด ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อเริ่มต้นภาพยนตร์นั้น “ปูยี” เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง

“เมื่อวัฒนธรรมจารีตไม่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ก่อตัวขึ้น ณ ห้วงเวลานั้น เขา (ปูยี) คือมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องเข้ามารับผิดชอบในภารกิจดังกล่าว…

“แต่ตลอดช่วงชีวิตของเขา ปูยีกลับไม่เคยมีความสุขและเต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ เพราะความอหังการที่คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกต้องในทุกๆ เรื่อง คำเตือนที่ปูยีส่งมาถึงพวกเรา ก็คือ ไม่ว่าพวกคุณจะดำเนินชีวิตอย่างไร คุณต้องพร้อมจะรับผิดชอบต่อทัศนคติและการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตัวคุณเอง”

นักทำเบียร์ชาวเม็กซิกันที่ทำมาหากินในฮ่องกง สรุปทิ้งท้าย

ข้อมูลจาก https://www.scmp.com/magazines/post-magazine/arts-music/article/3134639/hes-just-kid-how-last-emperor-changed-mexican