ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | คนมองหนัง |
ผู้เขียน | คนมองหนัง |
เผยแพร่ |
เมื่อชีวิตของ ‘นักทำเบียร์เม็กซิกัน’
เปลี่ยนแปลงไป
เพราะหนัง ‘The Last Emperor’
“The Last Emperor” ภาพยนตร์เมื่อปี 1987 ผลงานการกำกับฯ โดย “แบร์นาโด แบร์โตลุชชี” นักทำหนังชาวอิตาเลียน ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวชีวประวัติของ “ปูยี” (ผู่อี๋) จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีน คือหนังที่สร้างประวัติศาสตร์เอาไว้หลายด้าน
ตั้งแต่การเป็นภาพยนตร์ของ “กองถ่ายจากประเทศในโลกตะวันตก” เรื่องแรกสุด ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้าไปถ่ายทำกันใน “พระราชวังต้องห้าม” ณ กรุงปักกิ่ง
ไปจนถึงการกวาด 9 รางวัลออสการ์ รวมถึงรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
“ลาสซโล ราฟาเอล” ชาวเม็กซิกัน-ผู้ร่วมก่อตั้งเครื่องดื่มเบียร์ยี่ห้อ “มูนเซน” ซึ่งมีฐานการผลิตที่ฮ่องกง คือหนึ่งในบุคคลที่ระบุว่า “The Last Emperor” คือ “ภาพยนตร์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขา”
ราฟาเอลลืมตาดูโลกที่เม็กซิโก ก่อนจะเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาใช้ชีวิตในฮ่องกงเป็นร่วมเวลาสิบปีแล้ว
ชาวเม็กซิกันผู้นี้เล่าว่าเขาได้ดูหนังเรื่อง “The Last Emperor” ในช่วงทศวรรษ 2000 ระหว่างที่ตนเองมีอายุยี่สิบกว่าๆ และภาพยนตร์ของแบร์โตลุชชีก็คือ “หน้าต่างบานแรกๆ” ที่ทำให้เขาได้ทำความรู้จักประเทศจีนและวัฒนธรรมจีน
โดย “ความทรงจำแรกๆ” ดังกล่าว ยังคงติดอยู่ในหัวของเขามาจนถึงปัจจุบัน
“แม้บางคนจะวิจารณ์ว่าหนังเรื่องนี้มองประเทศจีนด้วยสายตาแบบตะวันตกเอามากๆ แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ไม่ได้เป็น ‘หนังฮอลลีวู้ด’ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์” ราฟาเอลเผยทัศนะของตน
ถ้ามองจากมุมของคนในประเทศเม็กซิโก ราฟาเอลบอกว่าวัฒนธรรมของประเทศแถบเอเชียนับเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจเอามากๆ โดยเฉพาะวัฒนธรรมจีนที่เขาลุ่มหลงสนใจมาอย่างยาวนาน
“ผมรู้สึกสนใจในอารยธรรมขั้นสูงของวัฒนธรรมจีน และความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมดังกล่าวกับวัฒนธรรมของผม เพราะวิวัฒนาการทางปรัชญาที่ไม่เหมือนกัน”
สําหรับราฟาเอล ภาพยนตร์เรื่อง “The Last Emperor” ได้แสดงให้เขาเห็นว่า ในบางที ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งก็ถูกบีบให้ต้องเล่นเกมอะไรบางอย่าง ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นๆ จะอยากเล่มเกมดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม
นักทำเบียร์ชาวเม็กซิกันอธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ผู้คนจำนวนมากในยุคปัจจุบันอาจรู้สึกว่าพวกตนไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับวิถีชีวิตของจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง แต่ก็มีบางเรื่องที่ผู้ชมภาพยนตร์กับตัวละคร “ปูยี” อาจมีประสบการณ์ร่วมกัน
“เขา (ปูยี) คือคนที่มีอำนาจมหาศาล และตกอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ซึ่งอำนาจไปพร้อมๆ กัน คุณจึงทำได้แค่เพียงปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ด้วยเครื่องมือบางอย่างที่คุณมี และไพ่ชีวิตที่คุณถืออยู่” ราฟาเอลตีความภาพยนตร์รางวัลออสการ์ ก่อนวิเคราะห์ต่อว่า
“พวกเรา (ในยุคปัจจุบัน) จะทำอะไรไม่ได้มากนัก ถ้าหากเราไม่ยอมปรับตัวและไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ซึ่งฮ่องกงกำลังเผชิญหน้ากับสภาวะโรคระบาดและความขัดแย้งแตกแยกทางสังคม สิ่งเหล่านี้มันคล้ายคลึงกับประสบการณ์ของปูยีนั่นแหละ
“ผมไม่ใช่บุคคลในแวดวงการเมือง แต่เรากับจักรพรรดิองค์นั้นต่างมีความรู้สึกแบบเดียวกัน เมื่อต้องกระเด้งกระดอนไปมาอยู่ท่ามกลางพลังทางการเมืองกลุ่มต่างๆ และต้องใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์ (หน้าใหม่) กำลังถูกเขียนขึ้น”
เรื่องที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของ “ลาสซโล ราฟาเอล” มากที่สุด ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อเริ่มต้นภาพยนตร์นั้น “ปูยี” เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
“เมื่อวัฒนธรรมจารีตไม่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ก่อตัวขึ้น ณ ห้วงเวลานั้น เขา (ปูยี) คือมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องเข้ามารับผิดชอบในภารกิจดังกล่าว…
“แต่ตลอดช่วงชีวิตของเขา ปูยีกลับไม่เคยมีความสุขและเต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ เพราะความอหังการที่คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกต้องในทุกๆ เรื่อง คำเตือนที่ปูยีส่งมาถึงพวกเรา ก็คือ ไม่ว่าพวกคุณจะดำเนินชีวิตอย่างไร คุณต้องพร้อมจะรับผิดชอบต่อทัศนคติและการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตัวคุณเอง”
นักทำเบียร์ชาวเม็กซิกันที่ทำมาหากินในฮ่องกง สรุปทิ้งท้าย