ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 เมษายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
THE WHITE TIGER
‘เสือโคร่งขาว’
กำกับการแสดง
Ramin Bahrani
นำแสดง
Adarsh Gourav
Rajkummar Rao
Priyanka Chopra
The White Tiger เป็นหนังอินเดียที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สำหรับสาขาบทดัดแปลงในปีนี้ และออกฉายทางเน็ตฟลิกซ์มาตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว
หนังสือชื่อเดียวกันที่หนังดัดแปลงมา เขียนโดยอารวินด์ อาดิกา ได้รับรางวัล Booker Prize สำหรับนวนิยายเมื่อ ค.ศ.2008 ในปีที่ The Slumdog Millionaire ฝีมือกำกับของแดนนี่ บอยล์ ได้รับรางวัลหนังยอดเยี่ยม
ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้นึกเปรียบเทียบเรื่องราวเกี่ยวกับชนชั้นในอินเดีย ที่ก้าวข้ามความยากจนมาสู่ความสำเร็จ ด้วยความมานะบากบั่นและโชคที่พลิกผัน
ในขณะเดียวกันก็ทำให้นึกถึงความไม่เท่าเทียมกันของชนชั้นและความเคียดแค้นของคนจนที่มีต่อชนชั้นอภิสิทธิ์ในหนังเกาหลีเรื่อง Parasite ซึ่งเป็นหนังที่พูดภาษาต่างประเทศที่ชนะรางวัลใหญ่ที่สุดของออสการ์ไป
นอกจากตัวละครหลักซึ่งเป็นชื่อเรื่องแล้ว The White Tiger ใช้สัตว์ต่างๆ เป็นอุปมาสำหรับตัวละคร
บัลราม หรือถอดอักษรสันสกฤตเป็นไทยๆ ว่า “พลราม” (อดาร์ช กูราฟ) น่าจะแปลว่า “ทหารเอกของพระราม” ซึ่งหมายถึงหนุมานผู้เก่งกาจและเป็นไอดอลของคนอินเดีย (คนไทยแทบทุกคนที่ไปเที่ยวอินเดียคงรู้แล้วว่าคนอินเดียจะชอบมากถ้าเราเอายาหม่องยี่ห้อลิงถือลูกท้อไปให้)
บัลรามเป็นพระเอกผู้เล่าเรื่องนี้ ด้วยการเขียนอีเมลถึงนายกฯ จีน เหวิน เจีย เป่า ในโอกาสที่ไปเยือนอินเดีย และเล่าความเป็นมาในฐานะสตาร์ตอัพของตัวเองในเมืองบังกาลอร์ เพื่อแนะนำตัวเอง เพื่อเป็นการเปิดทางการค้ากับจีน
ในวัยเด็ก มีผู้ตรวจการจากเมืองหลวงไปตรวจโรงเรียน หนูน้อยบัลรามแสดงความฉลาดเฉลียวให้ประจักษ์ จนผู้ตรวจการเรียกเขาว่า “เสือโคร่งขาว” และบอกว่าเสือโคร่งขาวนี้เป็นสิ่งหายาก ซึ่งจะปรากฏมีให้เห็นเพียงตัวเดียวในชั่วอายุคนเท่านั้น รวมทั้งบอกว่าจะสนับสนุนทุนการศึกษาให้เขาไปเรียนต่อในกรุงเดลลี
การศึกษาเป็นหนทางที่จะพาตัวให้พ้นจากความยากจนได้ ดังที่บัลรามได้เห็นจาก “นักสังคมนิยมผู้ยิ่งใหญ่” ซึ่งเป็นผู้หญิงจากวรรณะต่ำผู้ก้าวขึ้นสู่สังเวียนการเมือง ชนะการเลือกตั้งและกลายเป็นคนที่มีผู้นับหน้าถือตา
น่าเสียดายแต่ว่าหนทางแห่งการศึกษานี้ถูกตัดสะบั้นจากอนาคตของบัลราม เนื่องจากพ่อของเขาป่วยเป็นวัณโรค และย่าให้เขาเลิกเรียนกลางคัน เพื่อไปใช้แรงงานในร้านขายน้ำชา
บัลรามหาทางถีบตัวเองให้พ้นจากสภาพอันแร้นแค้นในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อลักษมันคฤห์นี้ด้วยการไปเป็นคนขับรถของลูกชายเศรษฐี
เศรษฐีเจ้าของที่ดินในหมู่บ้านนี้มีฉายาว่า “นกกระสา” ซึ่งให้ภาพของการเดินย่ำบนน้ำตื้นเพื่อจิกกินปลาเล็กปลาน้อย
“นกกระสา” มีลูกชายสองคน คนโตมีฉายาว่า “พังพอน” ซึ่งให้ภาพของสัตว์กินเนื้อที่มีฤทธิ์ขนาดสยบงูเห่าได้
ส่วนลูกชายคนเล็กเพิ่งกลับจากการไปเรียนที่อเมริกาพร้อมด้วยภรรยาคนสวยชาวอเมริกัน-อินเดียที่เป็นหมอจัดกระดูก
ลูกชายคนนี้มีชื่อว่า อโศก (ราชกุมมาร ราว) และไม่มีพิษมีภัยจนได้ฉายาว่า “ลูกแกะ”
บัลรามพาตัวเองเข้าไปเป็นคนขับรถให้อโศกจนสำเร็จดังใจหมาย ด้วยการขอเงินย่าไปเรียนขับรถโดยสัญญาจะทำให้ย่ากลายเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน และแบล๊กเมลคนขับรถเก่าแก่คนเดิมด้วยความลับที่เขาได้ล่วงรู้
และทำงานทุกอย่างตามที่ต้องรับใช้เจ้านาย รวมทั้งการทำความสะอาด การทำอาหารและการนวดเฟ้นเท้าให้เจ้านาย
เขาเปรียบเทียบความรู้สึกนึกคิดของชนชั้นล่างที่เป็นคนรับใช้ว่าเหมือนไก่ที่อยู่ในกรง มองเห็นเพื่อนไก่ด้วยกันถูกจับเอาไปเชือด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ได้แต่ยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงต่อไปโดยไม่ต่อต้านหรือประท้วงแต่อย่างใด
และแล้วความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อสภาพจิตใจของบัลรามเกิดขึ้นเมื่อเขาถูกสั่งให้ลงจากที่นั่งคนขับไปนั่งอยู่เบาะหลัง โดยแต่งตัวเต็มยศเป็นมหาราชาในโอกาสวันเกิดของภรรยาเจ้านาย ขณะที่พิงกี้ (ปรียันกา โชปรา) ผู้ดื่มจนเมามายอยู่ในอารมณ์สนุกเบื้องหลังพวงมาลัย
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความประมาทครั้งนั้นพลิกชีวิตทั้งชีวิตของคนที่เกี่ยวข้องไปหมด
บัลรามได้พบความจริงอันแสนปวดร้าว ซึ่งทำให้ทัศนคติและความภักดีเยี่ยงทาสของเขาเปลี่ยนไปหมด
เขาถูกผลักให้กลายเป็นแพะรับบาปที่ต้องขึ้นแท่นสังเวย
และคนที่เขาคิดว่าเป็นเพื่อนก็พิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่เพื่อนที่จะฝากผีฝากไข้ได้
จุดเปลี่ยนตรงนี้ทำให้บัลรามปลดตัวเองจากพันธนาการทั้งปวง และมองเห็นตัวเองเป็นเสือโคร่งขาวที่เดินติดจั่นอยู่ในกรง
พูดอีกนัยหนึ่งคือเขาไม่ใช่ไก่ในกรงที่รอชะตากรรมโดยดุษณีอีกแล้ว
ตั้งแต่ต้นเรื่อง บัลรามบอกว่าวรรณะในอินเดียนั้นมีนับพันวรรณะ แต่สำหรับเขา มีเพียงสองวรรณะ คือ ด้านมืดกับด้านสว่าง เขาเกิดในด้านมืด แต่เขาได้พาตัวพ้นจากด้านมืดมาสู่ด้านสว่างและกลายเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจสตาร์ตอัพในเมืองที่ก้าวเข้ามาแทนที่ซิลิคอนวัลเลย์ในอเมริกา
และเหตุที่อาชญากรรมครั้งสำคัญของเขาไม่เคยถูกจับได้ ก็เนื่องมาจากว่าเขามีใบหน้าเหมือนกับคนทุกคนในอินเดีย และธุรกิจของเขาปฏิบัติต่อพนักงานในสังกัดเป็น “ลูกจ้าง” ไม่ใช่เป็น “คนรับใช้” เหมือนในความรู้สึกนึกคิดดั้งเดิมของคนอินเดียอีกต่อไป
ในความพยายามติดต่อทางการค้ากับผู้นำของจีน บัลรามประกาศว่า นี่คือศตวรรษของคนผิวสีน้ำตาลกับคนผิวเหลือง ซึ่งจะก้าวผงาดขึ้นมาในโลกที่เคยเป็นของคนผิวขาว
หนังซึ่งแฝงอารมณ์ขันไว้มากมาย มีตอนจบที่ยังหลอนอยู่ในมโนธรรม และยากแก่การทำใจ
นอกเหนือไปจากความสำเร็จที่ได้มาโดยทุจริตและคอร์รัปชั่นที่ดูจะมีอยู่ทั่วไปหมดตั้งแต่ระดับบนจนถึงล่าง
ยังเป็นที่เคลือบแคลงว่าคนดูทั่วไปจะรับ “สาร” ที่หนังส่งออกมาในทางไหน หรือว่าจะถูก “แปลงสาร” ให้โลกเราผิดเพี้ยนเห็นผิดเป็นชอบไปหมด