บอย โกสิยพงษ์-นภ พรชำนิ ปั้น “ไลฟ์อีส” ขึ้นแท่นธุรกิจ SE ดึงแฟนคลับสร้างโลกสวย

ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะรู้จัก “นภ พรชำนิ” ในมุมที่เขาเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงรักสไตล์อบอุ่น

แต่วันนี้ หนุ่มวัย 47 ปีรายนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นนอกเหนือจากการร้องเพลง-แต่งเพลง นั่นคือการนั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทไลฟ์อีส กรุ๊ป

อันถือได้ว่าเข้าข่ายธุรกิจเพื่อสังคม หรือธุรกิจ SE (Social Enterprise)

ซึ่งในงาน SET Social Impact Day 2019 “ออกแบบ ทางออก มหาชน” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อไม่นานมานี้ เขาก็ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรร่วมในหัวข้อ “ออกแบบทางออกร่วมภาคธุรกิจและภาคสังคม” ทำให้แฟนๆ และคนในสังคมได้รับรู้ว่า “นภ” กำลังทำงานเพื่อสังคมที่น่าสนใจทีเดียว โดยมีบอย โกสิยพงษ์ นักร้อง-นักแต่งเพลงรุ่นพี่ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทนี้ด้วยกัน

ในรายละเอียดเรื่องดังกล่าว นภเกริ่นให้ฟังว่า ได้พูดคุยกับ “พี่บอย” ว่า ทำงานทางด้านเพลงมา 25 ปี สังเกตได้เลยว่าทุกเพลงที่แต่งร่วมกัน จะพูดถึงเรื่องของชีวิต ความเปลี่ยนแปลง ความไม่เท่าเทียมกัน ความไม่เข้าใจกันในสังคม โดยทำเพลงเหล่านี้มาเยอะมาก เพราะมีจิตใจที่อยากจะช่วยให้คนได้ตระหนักรู้ว่า การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและโลกสวยนั้นสามารถทำได้ แต่ยังไม่เกิดเป็นรูปธรรม มีความรู้สึกดีแล้วจบแค่นั้น

“ผมเลยบอกกับพี่บอยว่า ถึงเวลาแล้ว ผมพร้อมแล้วที่จะดึงแฟนเพลงของเราให้มาทำอะไรด้วยกัน จากแค่ฟังเพลงแล้วรู้สึกดี เปลี่ยนมาเป็นแอ๊กชั่น มาทำโลกนี้ให้มันดีขึ้นจริงๆ เลยตั้งไลฟ์อีสขึ้นมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และผมเชื่อว่าเครดิตความเชื่อมั่นที่แฟนเพลงมีต่อเรา มีมูลค่านับไม่ได้เลย มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นตรงนั้นให้กลับกลายเป็นแรงขับเคลื่อนในการเปลี่ยนแปลงโลกอย่างเป็นรูปธรรม”

ในการมาเปิดตัวบริษัทที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ นภมองว่า

“ถือเป็นการก้าวออกมาจากหลืบ ออกมาจากมุมที่ไม่มีใครรู้ว่าเราทำอะไรบ้าง นี่เป็นการเปิดตัวอย่างชัดเจนว่าเราทำอย่างเต็มที่ในการเติมวิตามินให้กับเด็กเล็ก เด็กโต ซึ่งไลฟ์อีสทำหลากหลายรูปแบบ อาทิ ทำรายการทีวี ทำสื่อผสมในการสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่พ่อ-แม่ที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน”

“ทำคลาสให้ความรู้คู่รักให้เขาได้พัฒนาความสัมพันธ์ของเขา เมื่อแต่งงานกันไปแล้วให้อยู่ด้วยกันนานๆ ไม่เลิกกัน มีการทำกิจกรรมร่วมกับเกษตรอินทรีย์ การปลูกป่า อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงดีขึ้น ไลฟ์อีสทำทุกอย่างโดยไม่จำกัดรูปแบบ”

นภย้ำถึงจุดประสงค์ของไลฟ์อีสว่า “ผมกับพี่บอยเป็นผู้ก่อตั้ง เรามีพาร์ตเนอร์อยู่ 5 คน เป็นคนที่มีสไตล์แบบเดียวกับผม ลักษณะองค์กรของเราเล็กๆ เราจะเป็นเอเยนซี่ในการนำภาคธุรกิจกับสังคมมาเชื่อมกัน เพื่อให้ภาคธุรกิจได้กำไร และต้องให้สังคมได้กำไรด้วย เป็นการเปลี่ยนมุมมองใหม่โดยใช้ความสามารถเรา ใช้เพลงเราในการเชื่อมคน 2 ฝั่งนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม แทนที่จะมาพัฒนาเงินในกระเป๋าเราอย่างเดียว แต่เราคืนกลับให้สังคมดีกว่า”

2ปีของไลฟ์อีส มีกลุ่มสนับสนุนใหญ่ๆ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นบริษัทที่เป็นสปอนเซอร์ กลุ่มที่ 2 มาจากแฟนเพลงที่ซื้อตั๋วเข้ามา หรือซื้อของบริจาค หรือซื้อของอุดหนุนกิจกรรม สำหรับในกลุ่มที่ 3 นี้ ทางไลฟ์อีส

ตั้งเป้าหมายว่าอาจจะได้รับงบประมาณจากภาครัฐหรือเอกชนที่เข้ามาสนับสนุน โดยจะทำเป็นโครงการใหญ่ ใช้ระยะเวลานานเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมให้ได้ตรงจุด

“ยกตัวอย่างต้นปีหน้าจะมีโครงการเกี่ยวกับการค้นหาตัวเองให้เจอตั้งแต่อยู่ ม.ต้น เขาจะรู้เลยว่าเขามีความถนัดอะไรที่ซ่อนอยู่ ซึ่งผมพูดเสมอว่าคนต้องรู้จักทักษะตัวเอง มันคืออาวุธที่อยู่ในตัวเรา เช่น คนนี้อ่านหนังสือเก่ง คนนี้ฟังเพลงเก่ง คนนี้ร้องเพลงได้ คนนี้เขียนหนังสือเก่ง คุณต้องรู้ตั้งแต่คุณยังไม่เข้ามัธยมปลาย ไม่งั้นจะเป๋เหมือนคนรุ่นก่อนๆ อย่างพวกผม เรียนจบไปแล้วไม่ใช่ตัวเอง จะเป็นกิจกรรมในระยะยาวที่ควรจะทำทุกปี งบประมาณก็จะมาจากทุกฝ่ายที่เห็นค่า”

ลักษณะการทำงานของไลฟ์อีส บางคนมองว่าเหมือนการทำงานในสไตล์ของเอ็นจีโอ

ประเด็นนี้นภแจกแจงว่า ปัญหาสังคมเกิดขึ้นมากมายในโลกนี้ แต่ไลฟ์อีสจะไม่พูดถึงปัญหาเลย จะเน้นว่าอยากเห็นโลกเป็นอย่างไรในอนาคต และทำเลย ไม่ต้องไปเก็บขยะ ไม่ต้องไปโทษคนโน้นคนนี้ อยากจะเห็นเด็กเข้าใจตัวเอง อยากจะเห็นสังคมที่เข้าใจกันและกัน อยากจะเห็นคู่สมรสอยู่กันไปตลอดยืนยาว ไม่เลิกกัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าทุกคนในสังคมเข้าใจตัวเอง เข้าใจคนรอบข้าง เข้าใจบ้าน เข้าใจสังคมแวดล้อมของตัวเองอย่างดี จะไม่เกิดปัญหา

นั่นคือสิ่งที่ไลฟ์อีสจะทำ เพราะฉะนั้น จะต่างจากกลุ่มอื่นตรงที่ว่าเห็นปัญหาเป็นเรื่องรอบกาย แต่จะทำให้ผู้คนเข้าใจชีวิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ของคน แล้วไลฟ์อีสจะเติมเต็มสิ่งเหล่านี้

อย่างเด็กคนหนึ่งที่จะเติบโตขึ้นมา จะต้องเข้าใจอะไรบ้าง เชื่อว่าถ้าแต่ละคนเข้าใจตัวเอง เข้าใจศักยภาพตัวเอง จะพัฒนาตัวเองได้อย่างสุดขีดความสามารถ ในอนาคตคนเหล่านี้จะมาเติมเต็มให้กับสังคมได้เอง สังคมแห่งการเกื้อกูลกันจะกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง

วกมาเรื่องครอบครัวตัวเองบ้าง นภบอกว่า แต่งงานกับภรรยา “เพลิน” (นามสกุลเดิมประทุมมาศ) มา 13 ปีแล้ว และตั้งใจว่าจะไม่มีลูก

“ผมอยากอุทิศตัวทำงานเพื่อสังคม ถ้าเรามีลูกเราก็ต้องมาโฟกัสที่ลูกเราเอง เราจะไม่มีเวลา เหมือนลำเอียง ลูกเราต้องมาก่อน แฟนผมก็อุทิศตัวเหมือนกัน เขาทำในเรื่องของภาคการศึกษาเด็กพิเศษ คือเราอุทิศชีวิตเพื่อคนอื่น เราต้องเป็นตัวอย่างให้เด็กรุ่นใหม่เห็นว่ามีผู้ใหญ่แบบนี้จริงๆ ไม่ใช่แบบชอบนั่งโซฟาข้างหน้า มีเงินในกระเป๋าขึ้นเฟิร์สต์คลาส ไม่ใช่ เราเป็นคนแบบนี้ อยากจะให้เขาได้เรียนรู้ว่ามาทำแบบนี้ดีกว่า อย่างนี้มันเจ๋งดี มีอะไรน่าสนุกเยอะ”

จากนี้คงต้องติดตามกันต่อไป ไลฟ์อีสภายใต้การนำของ “นภ” และ “บอย” จะเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาสังคมในบ้านเรา ตามความตั้งใจของพวกเขาได้มากน้อยแค่ไหน