ใส่บ่าแบกหาม/พรพิมล ลิ่มเจริญ /Tramps

ใส่บ่าแบกหาม/พรพิมล ลิ่มเจริญ

Tramps

 

เธอจ๊ะ

tramps ในที่นี้หมายถึง คนที่เดินเร่ร่อนขอ ที่เราเห็นตามท้องถนน ขออาหาร ขอเศษเงิน ของานทำ

เรื่องนี้พระเอก นางเอกของเราไม่ถึงกับเร่ร่อน แต่เดินและวิ่งกันทั้งเรื่อง เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง

Tramps เป็นหนังเล็กๆ ไปเปิดฉายที่ Toronto International Film Festival แล้วก็ลงโรงในประเทศ แล้วก็จากไป เป็นหนังประเภทที่แต่ก่อนเราไม่ได้ดูหรอก ไม่มีโรงหนังที่ไหนเอามาฉาย เดี๋ยวนี้มีหนังที่ใช้วิธี streaming แบบ Netflix เราก็จึงได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตา

Tramps บอกว่าเป็นหนังตลก ฉันก็ต้องว่า ทำไมล่ะ?!

บอกว่าเป็น romantic comedy ค่อยจะเข้าท่ากว่า ฉันว่า

Tramps กำกับการแสดงโดย Adam Leon เป็นผู้กำกับฯ ชาวอเมริกัน หนังเรื่องแรก Gimme the Loot ก็พาแกเข้าชิงรางวัลหนังตามเทศกาลต่างๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สอง แสดงว่ามีฝีมือใช้ได้เลย

80% ของเรื่องแสดงกันอยู่สองคน Callum Turner นักแสดงชายอายุ 29 ปี เคยแสดงบท Theseus Scamander ใน Fantastic Beasts : The Crimes of Grindelwald ที่ฉันก็ยังไม่ได้ดูเสียด้วยสิ และ Grace Van Patten น้องคนนี้อยู่ตระกูลการแสดง พ่อเป็นนักแสดง Timothy Van Patten ปู่คือ Dick Van Patten นักแสดงผู้มีชื่อเสียง ฉันจำได้ คุณปู่แสดงซีรี่ส์เรื่อง Eight Is Enough (1977) แกแสดงเป็นพ่อมีลูก 8 คน

น้องเกรซแสดงมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ผลงานต่างๆ แสดงให้เห็นว่าแกมีหนทางไปในวงการฮอลลีวู้ดแน่ๆ

 

เรื่องก็เกิดในมหานครนิวยอร์ก หน้าร้อน อากาศร้อนตอนกลางวัน กลางคืนค่อยเย็น

เริ่ม Danny พระเอกของเราทำงานทั้งสุจริตและไม่สุจริต ที่ห้องพักที่อยู่กับแม่และพี่ชายเปิดให้คนมาเล่นพนันได้ วันนั้นก็แทงม้ากัน ฟังม้าแข่งจากวิทยุ และเปิดแทง ก็เป็นรายได้ แต่งานดีๆ แดนนี่ก็ทำ

I’m a chef, you know?

At a nice restaurant in the city.

You know what

“farm to table” is, right?

I’m more of a cook, I guess.

ผมเป็นเชฟอยู่ร้านอาหารดีๆ ในเมือง

ร้านประเภทจากฟาร์มสู่โต๊ะ

จะว่าไปผมเป็นกุ๊กมากกว่าแหละ

ตลกดี บอกตอนแรกก็มั่นใจอยู่ดีๆ ว่าเป็นเชฟ พูดไปพูดมาเป็นกุ๊กซะแล้ว

เชฟกับกุ๊กไม่เหมือนกันใช่ไหม? เชฟดูจะสเกลใหญ่กว่ากุ๊กคือ ต้องเรียนจบมา มีปริญญาด้านอาหารมาโดยตรง แบบ Julia Child จบจาก Le Cordon Bleu Cooking School, พี่ Tyler Florence จบจาก Johnson & Wales University พี่ Anthony Bourdain จบจาก Culinary Institute of America เหล่านี้เป็นเชฟแน่ๆ ไม่มีข้อกังขา อีกทั้งก็ต้องเคยฝึกงานในร้านอาหารโรงแรมแบบมืออาชีพเขาทำกัน

พอมาทำงานก็ต้องไปทำงานในร้านอาหารใหญ่ๆ หรือไม่ก็ในโรงแรม ต้องบริหารงานและบริหารคนที่มาเป็นทีมทำอาหารด้วยกัน

พอเป็นกุ๊กทำอาหาร ทำเก่งแค่ไหนแต่ไม่ได้เรียนมา ไม่เคยทำงานสเกลใหญ่ก็เป็นกุ๊กไป แต่ก็ไม่ได้ด้อยค่า ดูอย่าง Ina Garten, Martha Stewart, Nigella Lawson หรือ Rachel Ray ที่มีรายการอาหารเป็นของตัวเอง เขียนตำราอาหารขาย ดังไปทั่วโลก

ไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นเชฟ เต็มใจเรียกตัวเองว่าเป็นกุ๊กอีกต่างหาก

แต่อย่างพี่ Gordon Ramsay ไม่ได้ปริญญาด้านอาหาร แกจบจาก Oxfordshire Technical College ด้าน Hotel Management แต่แกฝึกงานในร้านอาหารต่างๆ หนักหน่วงมาก เปิดร้านอาหารอีกต่างหาก ชาวบ้านร้านช่องก็เรียกแกว่าเชฟได้เต็มปากเต็มคำ

นี่คือตัวอย่างของการได้ชื่อว่าเชฟแบบไม่ต้องได้เรียนจบมาก็ได้

 

กลับไปที่หนังของเรา…

วันหนึ่งแดนนี่ก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายที่โดนตำรวจจับไป และไม่อยากพลาดงานสำคัญ

You gotta do it and pretend you’re me.

You’ll get in a guy’s car

and deliver a briefcase.

นายต้องไปทำ แกล้งทำเป็นฉัน

แล้วไปนั่งในรถ

เอากระเป๋าเอกสารไปส่ง

พี่ชายพูดโทรศัพท์เหมือนเป็นเรื่องง่าย

There’ll be a woman on a bench

with a green purse.

And you swap your briefcase for hers.

จะมีผู้หญิงนั่งเก้าอี้ม้ายาว

ถือกระเป๋าถือสีเขียว

ให้เอากระเป๋าเอกสารสลับกับของเธอ

ก็มันง่ายกับพี่ชายที่ประกอบอาชีพไม่สุจริตเป็นนิจศีล แล้วไม่ง่ายกับน้องชายเอาเสียเลย เพราะเหตุผิดพลาดมันก็เกิดขึ้น กระเป๋าใบที่ได้ไม่ใช่กระเป๋าใบที่ต้องได้มา!

คนขับรถที่ว่านั้นก็คือนางเอกของเรานั่นเอง

สองคนเลยต้องออกตามหาคนที่ได้กระเป๋า

การต้องออกตามหา ก็ต้องทั้งเดิน ทั้งวิ่ง ขึ้นรถเมล์ รถไฟใต้ดิน รถไฟธรรมดา ขี่จักรยาน เพื่อเอากระเป๋ากลับมา ก็ค่าจ้างตั้ง 1,500 เหรียญ มันน้อยเสียที่ไหน!

ข้างฝ่ายนางเอกของเรา ที่ดูจะรู้จักคนที่มาจ้างมากกว่าแดนนี่ เลยดูจะเป็นที่ไว้วางใจมากกว่า แล้วเลยได้เปรียบด้วยซะงั้น

So you deliver the thing

and you bring him with you tonight.

You can keep his share, too.

เอาของไปส่งนะ

คืนนี้พามันกลับมาด้วย

แล้วส่วนแบ่งมันก็เอาไปด้วยเลย

นางเอกดีใจเงียบๆ ในใจ พระเอกไม่รู้อะไรเลย นึกว่ากำลังช่วยกัน

การไปตามหากระเป๋า สองคนก็เลยต้องใช้เวลาด้วยกัน หาเรื่องคุยกัน แดนนี่ก็หาเรื่องชวนคุย แต่ก็พบว่า คุยด้วยยากจังคนนี้

I was gonna say you can be

a tough nut to crack.

จะบอกว่าคุณเป็นคนเข้าใจยากนะ

ถามอะไรไปก็ไม่บอก นู่นก็ไม่บอก นี่ก็ไม่ได้ ถึงกับต้องเอ่ยปากบอก

a tough nut to crack บางทีก็ใช้ a hard nut to crack หมายถึง คนที่ยากๆ ยากจะคุ้นเคยด้วย ยากจะเข้าใจ

พอไปตามหากระเป๋าในย่านคนรวย แดนนี่ก็แค่เปรยๆ ว่า บ้านแถวนี้แพงน่าดู อยากรู้หลังเท่าไหร่กัน? น้องนางเอกก็กวนประสาทกลับไปในทันใด

Why? Are you in the market?

ทำไม? หาซื้อบ้านอยู่เหรอ?

in the market for … ในที่นี้เป็นสำนวน หมายถึงสนใจซื้อ เช่น I’m not in the market for another car at the moment. ตอนนี้ไม่สนใจจะซื้อรถอีกคัน เป็นต้น

แต่พอเวลาผ่านไป นางเอกก็เริ่มยอมจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังบ้าง

I live with a Ricky.

ฉันอยู่กับคนชื่อริกกี้

ก็คงเป็นแฟนนั่นแหละ แต่ทำไมเรียกเขาเหมือนไม่รู้จักไม่คุ้นเคย มี “a” หน้าชื่อ

ภาษาปะกิดนั้นเราใส่ a ไว้หน้าชื่อได้ เวลาที่ไม่ได้ใส่ใจคนคนนั้น แบบเวลามีคนมาหา ถามชื่อ แล้วไปบอกคนที่เขามาหา พอเราไม่รู้จักเราก็ว่า There is a Tom waiting for you. คนที่ชื่อทอมมาหาแน่ะ ถ้าเป็นภาษาไทย ที่ใกล้เคียงก็น่าจะคล้ายๆ ที่เราชอบพูดว่า ใครก็ไม่รู้ชื่อทอมมาหาเธอแน่ะ

คือเขาชื่อทอมไง จะมา ‘ใครก็ไม่รู้’ ทำไม?! อย่าใช้เลย มันลดทอนความมีตัวตนของคนคนนั้น ฉันว่า

 

 

หนังสนุกดี มีเอกลักษณ์ในการนำเสนอ ดูสองคนค่อยๆ ชอบพอกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้กำกับฯ เขาเก่ง เพียงเวลาไม่ถึงสองวันในหนัง เราก็จะสามารถเชื่อว่าสองคนเขาจะได้รักกันไม่ยาก

น่าเอ็นดูออก

ฉันชอบ

ฉันเอง