ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์ /ALADDIN ‘มนตรา’

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

ALADDIN

‘มนตรา’

 

กำกับการแสดง Guy Ritchie

นำแสดง Will Smith Meha Massoud Naomi Scott Marwan Kenzari Nain Pedrad

 

ยี่สิบเจ็ดปีผ่านไปหลังจาก Aladdin (1992) หนังการ์ตูนที่เล่าเรื่องราวของอะลาดินกับตะเกียงวิเศษกับยักษ์สีฟ้าผู้น่ารักกับพรมเหาะที่เป็นพาหนะเหินฟ้าท่องเหนือพื้นโลก ค่ายดิสนีย์ผู้สร้างและเจ้าของลิขสิทธิ์ก็กลับนำอะลาดินกลับมาสู่สายตาของคนดูรุ่นมิลเลเนียลอีกครั้ง คราวนี้ในรูปแบบที่นำเสนอผ่านนักแสดง ไม่ใช่ภาพการ์ตูน

การจากไปหมาดๆ ของนักแสดงและนักพากย์ผู้มากความสามารถ โรบิน วิลเลียมส์ ซึ่งทำให้จีนี่กลายเป็นตัวละครที่มีชีวิตชีวาน่าจดจำ ยิ่งชวนให้หวนกลับไปนึกถึงการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ได้ดูเมื่อยี่สิบเจ็ดปีที่แล้ว

และต้องขอบอกว่าผู้เขียนได้รับความบันเทิงเพลิดเพลินเจริญใจ เหมือนกับได้หวนกลับบ้านไปพบปะผู้คนเก่าๆ ที่เห็นหน้าแล้วก็ยิ่งทำให้นึกถึงความหลังอันรื่นรมย์

ดังนั้น จึงไม่ได้นึกเปรียบเทียบหนังทั้งสองเรื่องว่าเวอร์ชั่นไหนดีกว่ากันเลยค่ะ ได้แต่รู้สึกว่าทั้งสองเวอร์ชั่นมาจากบ้านหลังเดียวกัน

และทำให้ได้กลับไปเยี่ยมเยียนด้วยความสำราญบานใจอีกครั้ง

 

Aladdin เล่าเรื่องราวของอะลาดิน (เมฮา มัสซูด) หนุ่มที่โตขึ้นมาอย่างเด็กกำพร้าในเมืองใหญ่ มีเพียงลิงตัวน้อยซุกซนชื่ออาบู เป็นเพื่อน และหาเลี้ยงชีพไปวันๆ ด้วยการลักเล็กขโมยน้อย

จวบจนได้เจอกับเจ้าหญิงที่ปลอมตัวเป็นหญิงสามัญมาเที่ยวชมเมือง และแล้วอะลาดินก็ถูกบังคับโดยจาฟาร์ (มาร์วาน เคนซารี) อัครมหาเสนาบดีผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ให้เข้าถ้ำวิเศษที่เต็มไปด้วยอัญมณีล้ำค่า เพื่อไปเอาตะเกียงวิเศษที่จะบันดาลความยิ่งใหญ่ให้แก่เขา

แน่นอนอะลาดินไปหาตะเกียงวิเศษเจอ แต่ก็ไม่ก่อนที่จะได้ช่วยพรมวิเศษที่มีหินก้อนใหญ่ทับอยู่ให้หลุดออกมาได้ และได้เจอจีนี่ ยักษ์สีฟ้าตัวโต (วิลล์ สมิธ) หลุดออกมาจากตะเกียง พร้อมรับใช้ผู้เป็นเจ้าของตะเกียง เพียงอธิษฐานขอพรสามประการ…ไม่ต้องขอทีเดียวก็ได้ แต่ค่อยๆ ขอไปเมื่อไรที่อยากขอ เพียงแต่จะขอได้สามหนเท่านั้น

กระนั้น อะลาดินก็ยังสร้างสัมพันธภาพอันดีกับจีนี่ และอ้อนขอให้พาพวกเขาหลุดออกมาจากถ้ำโดยไม่นับเป็นพรข้อแรก

เนื่องจากจีนี่ดักคอไว้ก่อนเลยว่าจะขออะไรก็ตาม แต่จะขอให้ใครมารักนั้นไม่ได้ ของแบบนี้มันบังคับใจกันไม่ได้ พรข้อแรกที่อะลาดินขอ คือขอให้เขาเป็นเจ้าชาย เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้าหญิงแจสมิน สาวในดวงใจเขา

และจีนี่ก็เนรมิตความเป็นเจ้าชายให้อะลาดินได้ดังใจหมาย โดยเดินทางมาถึงนครอะกราบาห์ของสุลต่านพระบิดาของเจ้าหญิงแจสมิน เยี่ยงขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคของมหาราชาอันเกรียงไกร ทั้งไพร่พลช้างม้าที่แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างฟู่ฟ่า เหมือนขบวนพาเหรดในละครสัตว์อันน่าตื่นตา

อะลาดินกลายเป็นเจ้าชายอาลีแห่งอาบับวา ผู้เดินทางมาเพื่อสู่ขอเจ้าหญิง

 

เวทมนตร์เนรมิตของจีนีที่เสกให้แก่เจ้าชายตัวปลอม รวมทั้งความหรูหราอลังการแสนมหัศจรรย์ของขบวนขันหมากที่มาสู่ขอไม่ได้ทำให้เจ้าหญิงแจสมินประทับใจสักนิด

เจ้าหญิงผู้มีสัตว์เลี้ยงเป็นเสือลายพาดกลอนตัวโตเบ้อเริ่มเทิ่มชื่อ ราชา เดินผละจากเจ้าชายผู้เริ่ดหรูที่พยายามทุกวิถีทางที่จะสร้างความประทับใจไปอย่างไม่ไยดี

เจ้าชายอาลีตัวปลอมมาชนะใจเจ้าหญิงได้ก็ตอนที่เขาเชิญเจ้าหญิงขึ้นนั่งพรมเหาะชมเปิดหูเปิดตาชมโลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นในค่ำคืนแสนวิเศษนั่นแหละ

นี่เป็นช่วงเวลาที่เบิกบานใจที่สุดในหนัง พระเอกนางเอกนั่งพรมเหาะ ลมเย็นสบาย ท่องไปเหนือนครที่มีแสงสียามราตรีของอดีตกาลไกลโพ้นอันมีมนต์ขลัง พร้อมเสียงเพลงคุ้นหู A Whole New World ที่แสนไพเราะด้วยท่วงทำนองและเนื้อร้องที่มีความหมายจับใจลงตัวไปหมด

ขนาดที่ว่าหลังจากดูหนังแล้ว ต้องไปเปิดยูทูบดูคลิปเพลงนี้ในช่วงที่อะลาดินกับเจ้าหญิงแจสมินนั่งพรมวิเศษท่องโลกยามราตรี

มีความตื่นตาตื่นใจเยอะแยะเลยค่ะ นอกจากนครเบื้องล่างอันมีแสงสีงดงามแล้ว

การ์ตูนยังพาเราเหินเวหาแวะไปเยี่ยมเยียนพีระมิดพร้อมด้วยสฟิงซ์ยามราตรี เหินเรี่ยอยู่บนทิวเมฆ

ได้สัมผัสปุยเมฆอันอ่อนนุ่ม เหินไปท่ามกลางฝูงนกกระสาที่บินอยู่ในท้องฟ้า โฉบลงมาเหนือพื้นพิภพที่มีฝูงม้าป่าสีขาวควบตะบึง ฯลฯ เป็นเพลงร้องคู่ชาย-หญิงที่สร้างความสุขใจได้จริงๆ

สมกับที่เคยได้รับรางวัลออสการ์เพลงประกอบหนังยอดเยี่ยมของปีนั้น

 

อีกเพลงที่ยังจำได้คือ Friend Like Me ที่จีนี่ร้องอวดอ้างสรรพคุณของตัวเองให้อะลาดินฟัง ซึ่งชวนให้นึกถึงยักษ์สีฟ้าที่มีบทบาทตามที่โรบิน วิลเลียมส์ ให้เสียง วิล สมิธ ที่มาพร้อมตัวจริงเสียงจริงก็สวมบทบาทนี้ได้อย่างแนบเนียน โดยที่ความเป็นนักแสดงผิวดำทำให้ช่วยไม่ได้กับการมีลักษณะแบบแร็พของคนรุ่นใหม่

อ้อ มีอยู่ตอนหนึ่งในหลายตอนที่บทของวิล สมิธ ทำให้หัวเราะก้ากเลย คือตอนที่จีนี่แปลงกายในรูปแบบต่างๆ ให้อะลาดินเลือกเอา หลายหลากรูปโฉมแปรเปลี่ยนให้ดู แต่เมื่ออะลาดินบอกว่าอะไรก็ดีอยู่หรอก ติดอยู่แต่กับหัวจุกเท่านั้น จีนี่ก็พูดอะไรในทำนองว่าหัวจุกเปลี่ยนไม่ได้ เพราะมันเป็นอัตลักษณ์ประจำตัวเขา

มีเพลงใหม่สำหรับหนังเวอร์ชั่นนี้อีกเพลง คือ Speechless ซึ่งเป็นการตีความใหม่ของตัวละครเจ้าหญิงแจสมิน ในเรื่องนี้แจสมินมีหัวคิดแบบนักเรียกร้องสิทธิสตรีเต็มตัว

เนื่องจากความเป็นลูกสาวคนเดียวของสุลต่าน และสุลต่านไม่มีรัชทายาทเป็นชายเพื่อสืบทอดบัลลังก์ ตามกฎมณเฑียรบาล เจ้าหญิงจึงจะต้องแต่งงานกับเจ้าชายต่างเมืองถึงจะครองบัลลังก์ได้

แต่นั่นไม่ใช่ตัวตนของนางเอกผู้มุ่งมั่นจะทำสิ่งดีๆ เพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงจะอยู่โดยไม่แต่งงานและครองตำแหน่งสุลต่านเองไม่ได้

และเมื่อถูกบีบบังคับให้ต้องยินยอมต่ออำนาจ เธอก็หยุดโลกไว้ (ตามแบบแผนของภาพยนตร์มิวสิเคิล) ปลดตัวเองจากการถูกจองจำ และร้องออกมาเป็นเพลงที่ประกาศให้รู้ถึงการถูกลิดรอนสิทธิของผู้หญิง

 

ที่น่าสะกิดใจคือวัฒนธรรมสมัยใหม่ ที่เรียกว่า pop culture สมัยนี้เริ่มจะประกาศจุดยืนของผู้หญิงอย่างชัดแจ้ง

กัปตันมาร์เวลผู้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ผู้เก่งกาจไร้เทียมทานในจักรวาลของมาร์เวล ก็เป็นผู้หญิง แตกแขนงออกมาจากซูเปอร์ฮีโร่ที่ผู้ชายเคยครองโลกอยู่อย่างแทบจะเรียกว่าเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

หนังการ์ตูนที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในระยะหลังๆ อย่างเช่น Brave ก็มีตัวละครผู้หญิงเก่งกล้าสามารถเยี่ยงชายอกสามศอก

และเมื่อสัปดาห์ก่อนนี้เอง ผู้เขียนก็ได้เขียนถึง Cinderella and the Secret Prince ซึ่งเป็นการพลิกผันบทบาทระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย นั่นคือ เจ้าชายเป็นฝ่ายตกอยู่ในฐานะลำบากและต้องการให้ผู้หญิงช่วยให้รอดพ้น

อย่างไรก็ตาม ธีมของสตรีนิยมใน Aladdin เป็นเหมือนของแถมเข้ามา มากกว่าจะเป็นเนื้อหาหลัก แต่ถึงอย่างไรก็ทำให้เจ้าหญิงแจสมินกลายเป็นหญิงสาวที่มีหัวคิดก้าวหน้าล้ำยุคไม่น้อย

 

นอกจากเพลงแล้ว ที่ขาดไม่ได้สำหรับหนังของดิสนีย์ที่มีเยาวชนเป็นตลาดใหญ่ คือตัวละครที่เป็นสัตว์ ใน Aladdin มีสัตว์นานาชนิดเป็นสัตว์เลี้ยงประจำตัวละครและบอกลักษณะเด่นของเจ้าของ

อะลาดินมีเจ้าจ๋อจอมซนมือไว ชื่ออาบู ซึ่งมีแคแร็กเตอร์ที่สะท้อนให้เห็นเจ้าของที่เป็นเด็กเหลือขอผู้ใช้ชีวิตเอาตัวรอดไปวันๆ ท่ามกลางผู้คนที่หลอกลวงกันไปมา และต้องมีไหวพริบให้ทันกัน

แต่อะลาดินก็มีน้ำใจงดงาม แบ่งปันให้แก่ผู้ยากไร้ และเมื่อถึงที่สุดแล้ว เขาจะนึกถึงคนอื่นก่อนความต้องการของตัวเองเสมอ

เจ้าหญิงแจสมินมีสัตว์เลี้ยงอันน่าเกรงขามที่สุด ชื่อราชา เป็นเสือเบงกอลตัวโตน้ำหนักสักห้าร้อยกิโลละมัง ซึ่งใครๆ ชอบใช้คำเรียกขานว่า “แมวตัวใหญ่” เพื่อลดทอนความน่ากลัวลง

ส่วนจาฟาร์ อัครมหาเสนาบดีผู้คดในข้องอในกระดูก มีสัตว์เลี้ยงเป็นนกแก้วปากบอน ชื่ออิอาโก (ตามตัวละครผู้ร้ายในเรื่อง Othello ของวิลเลียม เช็กสเปียร์ ที่เป็นเหมือนหอกข้างแคร่ของโอเธลโล)

ซึ่งก็มีลักษณะที่สะท้อนให้เห็นตัวเจ้าของนั่นเอง

 

อีกอย่างที่ชอบสำหรับหนังเรื่องนี้คือ การวางตัวนักแสดง หรือแคสติ้ง ซึ่งใช้นักแสดงผิวสีแทบจะทั้งหมด เนื่องจากเรื่องราวของอะลาดินมาจากนิยายอาหรับราตรี และมีท้องเรื่องเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง วิล สมิธ จึงสวมบทบาทยักษ์สีฟ้าอย่างเหมาะเจาะ

ส่วนเมฮา มาสซูด ก็เป็นนักแสดงเชื้อสายอียิปต์ สองสามปีมานี้ นักแสดงจากอียิปต์เริ่มกลับมาสร้างชื่อเสียงในโลกมายา หลังจากห่างหายไปนาน นับตั้งแต่โอมาร์ ชาริฟ (Dr. Zhivago) เมื่อหลายสิบปีก่อน โดยเฉพาะเรมี มาลิก ซึ่งดังเป็นพลุแตกจากบทบาทของเฟร็ดดี้ เมอร์คิวรี ใน Bohemian Rhapsody

และเนโอมี สกอตต์ ซึ่งมีชื่อเสียงเรียงนามเหมือนฝรั่งผิวขาวไปแล้ว ทว่าเธอก็มีเชื้อสายอินเดีย และหน้าตาเหมือนสาวอินเดียที่สวยจัดไม่ผิดเพี้ยน

นอกจากนั้นบทสมทบก็ยังเป็นของนักแสดงจากอิหร่าน และตูนิเซีย เป็นต้น

แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันเปิดกว้างให้นักแสดงเชื้อชาติต่างๆ ก้าวเข้ามาสู่เวทีภาพยนตร์ระดับสากลมากขึ้นอย่างน่ายินดียิ่ง

เชื่อไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสมัยก่อนนักแสดงผิวขาวครองบทบาทสำคัญไว้ล้วนๆ เลย ถ้าต้องเล่นเป็นคนผิวสี ก็ยังต้องย้อมผิว ทาหน้าทาตัวให้ดำคล้ำ

แต่น่าดีใจที่โลกสมัยนี้เปิดกว้างข้ามพรมแดนของเชื้อชาติมากขึ้นแล้วค่ะ