ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มิถุนายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
ขอแสดงความนับถือ
อาจด้วยอยู่ในบรรยากาศฮันนีมูน
อาจด้วยบุคลิกพิเศษของเจ้าตัว
ทำให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ “คนใหม่” จาก “การเลือกตั้ง”
มากด้วยสีสันและโดดเด่น
และกลายเป็นความหวังอย่างสูงไปแล้วว่าจะทำให้กรุงเทพมหานครดีขึ้น
ดีขึ้น ภายใต้ฉันทามติของ 1.38 ล้าน มอบให้
ซึ่งถือเป็นพลังสำคัญสูงสุดแห่งระบอบ “ประชาธิปไตย” ที่ทำให้ผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก้าวออกมาถึงจุดนี้ได้
จึงไม่น่าจะผิดนัก ที่ยืนยันและตอกย้ำอีกครั้งว่าการมาตามระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
เมื่อกล่าวถึง “การมาตามระบอบประชาธิปไตย” อันมีความสำคัญ
ใน “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับนี้ ที่หน้า 20
“สมชัย ศรีสุทธิยากร” รายงานความคืบหน้าการขับเคลื่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคแรก ตัดอำนาจสมาชิกวุฒิสภาในการร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
เพื่อให้ที่มาของนายกรัฐมนตรี มาตามเสียงส่วนใหญ่ของระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง
มิได้ขึ้นกับ 250 เสียง ส.ว.ที่มาจากการ “ลากตั้ง” และเข้ามามีส่วนกำหนดอย่างสำคัญในการเลือกนายกฯ
อย่างที่ทราบ สมชัย ศรีสุทธิยากร เป็นแกนนำระดมประชาชน 70,500 ชื่อ เพื่อใช้สิทธิตามมาตรา 256(1) ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ยื่นต่อประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565
ปรากฏว่า ขณะนี้ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อครบถ้วนแล้ว เหลือจำนวน 64,151 รายชื่อ ซึ่งเกินกว่าจำนวน 50,000 รายชื่อซึ่งเป็นจำนวนที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ ได้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภา พรรคการเมือง ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นักเรียน นิสิต นักศึกษา ระหว่างวันที่ 20-30 พฤษภาคม พ.ศ.2565 เป็นที่เรียบร้อย
จะบรรจุเป็นวาระการพิจารณาของรัฐสภาในช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนมิถุนายน 2565 นี้
ที่ผ่านมา
มีความพยายามเข้าชื่อของ “ภาคประชาชน” เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้ว 2 ครั้ง
ครั้งแรก เป็นร่างของกลุ่ม iLaw ที่มีประชาชนเข้าชื่อ 100,732 คน
แต่ไม่ผ่านการพิจารณารับหลักการในวาระที่หนึ่ง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2563
ครั้งที่สอง เป็นร่างที่เสนอโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล มีผู้ร่วมลงชื่อ 135,247 คน
แต่ไม่ผ่านการรับหลักการของรัฐสภาในวาระที่หนึ่งเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 อีกเช่นกัน
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม
ถามว่า โอกาสจะแก้ไขสำเร็จหรือไม่
คำตอบก็คือ ริบหรี่
เพราะการออกเสียงลงมติในวาระที่หนึ่ง
นอกจากจะต้องได้ความเห็นชอบด้วยเสียงข้างมากจากที่ประชุมรัฐสภาแล้ว
ในเสียงข้างมากดังกล่าวต้องมีเสียงของสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม หรือประมาณ 84 คนจาก 250 คนอีกด้วย
ซึ่งยากมาก และยิ่งการแก้ไขความคราวนี้ มุ่งไปที่การตัดอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกฯ ด้วยแล้ว
โอกาสที่สมาชิกวุฒิสภาจะให้ความเห็นชอบกับการตัดอำนาจตนเอง มีน้อยอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม สมชัย ศรีสุทธิยากร และประชาชน อีกจำนวนไม่น้อย
ยังคาดหวังว่าสมาชิกวุฒิสภาจะร่วมเดินหน้าพาประเทศให้หลุดพ้นจากกติกาที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตยแบบนี้
และไม่จมอยู่กับความเชื่อที่ว่า มีคนไม่กี่คนในประเทศที่จะนำพาประเทศสู่ความก้าวหน้าโดยไม่จำเป็นต้องฟังเสียงใดๆ ของประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าของประเทศ
ดังนั้น ควรคืนสิทธิการเลือกนายกรัฐมนตรีให้กลับมาอยู่ในมือของ ส.ส. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน
เราได้เห็นประกายแห่งความหวังแล้ว จากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
และในเดือนมิถุนายน 2565 นี้ จะครบวาระ 90 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475
ประชาธิปไตยควรจะได้เดินหน้าเสียที หลังจากถอยหลังไปหลายก้าวแล้ว
โดยเฉพาะหลังจากการรัฐประหารเมื่อพฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา •