ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
ขอแสดงความนับถือ
ประจำวันที่ 25-31 มีนาคม 2565 ฉบับที่ 2171
ขอแสดงความนับถือ
เมื่อครั้งที่ดูหนังเรื่อง Thirteen Days
ที่สร้างจากหนังสือ Thirteen Days : A Memoir of the Cuban Missile Crisis เขียนโดยโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ น้องชายของอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้
ผ่านทางช่องเคเบิลทีวี เมื่อนานพอสมควร
ตอนที่ดู ยอมรับว่าแฝงอคติอยู่นิดๆ
ด้วยว่าเป็นหนังที่สร้างโดยฝ่ายอเมริกัน
คงจะแฝงการโฆษณา “ชวนเชื่อ” ให้ฝ่ายเคนเนดี้ดูดีอยู่ไม่น้อย
แต่กระนั้น ในอคติดังกล่าว ด้านหนึ่งก็อดชื่นชมกลุ่มนักการเมืองรุ่นหนุ่มสายพิราบ ที่นำโดยประธานาธิบดีเคนเนดี้ไม่ได้
ที่ยึดมั่นนโยบายการอยู่ร่วมกันแบบสันติภาพอย่างแน่วแน่ไม่ได้
พวกเขาเลือกแนวทางที่จะใช้ความรุนแรงเป็นวิธีสุดท้าย
ขณะเดียวกัน แม้ในหนังจะไม่ได้พูดถึงฝ่ายรัสเซียมากนัก
แต่ก็คงต้องให้เครดิตและชื่นชม “นายกรัฐมนตรีนิกิตา ครุสชอฟ” ผู้นำโซเวียตขณะนั้นด้วย
ที่ตอบสนองแนวทางการเจรจาทางการทูต ตัดสินใจนำขีปนาวุธออกจากคิวบา
แม้จะถูกมองว่าอ่อนข้อให้สหรัฐ
แต่ถ้า “ครุสชอฟ” ไม่ถอย
เราไม่รู้โลกจะเป็นอย่างไรหากสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้น
ในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับนี้ “สุทธิชัย หยุ่น” แห่งคอลัมน์กาแฟดำ
นำ Thirteen Days มากล่าวถึงอีกครั้ง ผ่านบทความที่ชื่อว่า
“บทเรียนจาก Thirteen Days : อย่าต้อนศัตรูให้จนมุม…”
โดยสุทธิชัย หยุ่น บอกว่าที่กลับมาสนใจ Thirteen Days เวลานี้
ก็เพราะอาจสามารถนำมาเป็น “บทเรียน” สำหรับวิกฤตของสงครามยูเครน-รัสเซียตอนนี้ได้
บทเรียนที่เคนเนดีเคยยืนยันว่าจะต้องใช้วิถีทางการทูตไปจนถึงวินาทีสุดท้าย
ว่ากันว่าจุดยืนนี้ ได้แรงบันดาลใจจากแนวทางการต่อรองการทำสงครามจากนักวิเคราะห์ทางทหารชาวอังกฤษที่ชื่อ Basil Liddell Hart
เขาเป็นผู้เขียนตำราการเจรจาหลีกเลี่ยงวิกฤตชื่อ Deterrent or Defense
ซึ่งประธานาธิบดีเคนเนดี้น่าจะหยิบมาเป็นแนวทางการเจรจาต่อรองกับคู่ต่อสู้ในวิกฤตดังกล่าว
โดยถือหลัก
– ต้องแสดงความเข้มแข็งเอาไว้
– ในทุกกรณี ต้องใจเย็น ใจนิ่ง ใจร่มๆ
– ต้องให้มีความอดทนอย่างไร้ขีดจำกัด
– ที่สำคัญคือ อย่าต้อนฝ่ายตรงกันข้ามเข้ามุม
– จงช่วยศัตรูรักษาหน้าของเขา
– ที่สำคัญที่สุด “จงใช้จินตนาการว่าเขาคิดอะไรอยู่…” นั่นคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรามองเหตุการณ์นี้ด้วยสายตาของฝ่ายตรงกันข้าม
– อย่าได้ปิดบังสายตาด้วยเองด้วยการติดยึดว่า “ฉันคือผู้ที่ถูกต้องชอบธรรมที่สุด”
เขาย้ำเตือนตลอดว่า
“เราต้องถามตัวเองว่าทำไมฝ่ายโซเวียตจึงคิดและทำอย่างที่เขาทำอยู่…เขาต้องมีเหตุผลของเขา…”
ซึ่งเคนเนดี้ได้พยายามทำทุกอย่างที่จะช่วย “ครุสชอฟ” จะถอยได้โดยไม่ต้องเสียหน้า
ซึ่งที่สุดก็ช่วยคลายวิกฤตลงได้
เราหวังร่วมไปกับสุทธิชัย หยุ่น เช่นกันว่า ที่สุด “สงครามยูเครน-รัสเซีย”
ปูตินกับไบเดนน่าจะมีส่วนช่วยให้อีกฝ่ายหนึ่ง “ถอยโดยไม่เสียหน้า” ได้เช่นกัน
แต่ในคอลัมน์ยุทธบทความ ของสุรชาติ บำรุงสุข ที่หน้า 38-39
ได้นำเสนอ “หลักการปูติน” เอาไว้อย่างน่าพิจารณาเช่นกัน
คือเราอาจจะต้องยอมรับว่าประธานาธิบดีปูตินเป็นตัวแทนของกระแสชาตินิยมรัสเซียที่เป็น “ประชานิยมปีกขวา” (right-wing populism)
เชื่อว่าตัวเขามี “ภารกิจทางประวัติศาสตร์” ในการฟื้นสถานะของรัสเซีย ที่ตกต่ำลงอย่างมากในยุคหลังสงครามเย็นกลับมา
ด้วยบุคลิกแบบปูตินนี้ทำให้เขามุ่งมั่นในการทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
และสงครามคือเครื่องมือในการ “กอบกู้” สถานะในการเมืองโลก
สิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครนจึงถูกเรียกว่าเป็น “สงครามของปูติน”
เพื่อฟื้นฟูสถานะของรัสเซียให้กลับสู่การเป็น “รัฐมหาอำนาจใหญ่” ที่ต้องได้รับการยอมรับจากเวทีโลก
แน่นอนว่าแม้มากด้วยความทะเยอทะยาน ก้าวร้าว
แต่ตะวันตกจะต้องไม่ละเลยต่อท่าทีของรัสเซียอีกด้วย
โดยอาจยึดแนวอดีตประธานาธิบดีเคนเนดี้ที่ไม่ปิดบังสายตาตัวเองด้วยการติดยึดว่า “ฉันคือผู้ที่ถูกต้องชอบธรรมที่สุด”
และย้ำเตือนตลอดว่า
“เราต้องถามตัวเองว่าทำไมฝ่ายโซเวียตจึงคิดและทำอย่างที่เขาทำอยู่…เขาต้องมีเหตุผลของเขา…”
เพื่อเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุย
หรือที่ดีที่สุดคือพื้นที่ “ที่ต่างคนต่างถอย”
ดังที่โลกผ่านวิกฤต Thirteen Days มาได้ •