ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 มีนาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
ขอแสดงความนับถือ
มติชนสุดสัปดาห์ฉบับนี้
อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข และอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ พาไปพินิจ “สงคราม”
อาจารย์สุรชาติมองไปที่สงครามยุคปัจจุบัน “รัสเซีย-ยูเครน”
ขณะที่อาจารย์นิธิพาย้อนกลับไปสงครามในอดีต “รามเกียรติ์”
แม้รามเกียรติ์เป็นเรื่องแต่ง แต่ก็มีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองของชาติตะวันออกอย่างกว้างขวาง
จนเสมือนมีสงครามเกิดขึ้นจริงๆ
อาจารย์สุรชาติวางฉากทัศน์สงครามของปูตินไว้ 3 ฉากทัศน์
ฉากทัศน์ที่ 1 การทูตแบบใช้กำลังบังคับ
ฉากทัศน์ที่ 2 ปฏิบัติการเชิงรุกทางทหารอย่างจำกัด
ฉากทัศน์ที่ 3 ปฏิบัติการเชิงรุกทางทหารเต็มรูปแบบ
ปรากฏว่า ปูตินตัดสินใจเปิดปฏิบัติตามฉากทัศน์ที่ 3
ปฏิบัติการใหญ่ทางทหาร
โดยหวังรุกเข้ายึดเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ทำลายรัฐบาลเดิมลง
ซึ่งหากกองทัพรัสเซียประสบความสำเร็จก็ยังยากที่จะกล่าวได้ว่า “ชนะ”
เพราะที่สุดอาจขยายไปสู่ “สงครามกองโจร” ของชาวยูเครน เพื่อต่อต้านการยึดครองของรัสเซีย
สงครามที่อาจนำไปสู่การสูญเสียขนาดใหญ่ของรัสเซียด้วยเช่นกัน
ภาวะเช่นนี้อาจารย์สุรชาติประเมินว่า จะเป็นวิกฤตใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง…
เพราะสหรัฐและชาติยุโรปคงไม่ยินยอม และจะบอยคอตทางเศรษฐกิจ การเมืองจากเบาไปถึงหนัก
และต้องจับตาว่านาโตจะเข้าไปแทรกแซงทางการทหารมากเพียงใด
เหล่านี้ทำให้สถานการณ์การเมืองโลกปัจจุบันเปราะบาง และน่าเป็นห่วงยิ่ง
นั่นเป็นสงครามในปัจุบัน
ส่วนในอดีต อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ พาเราย้อนกลับไปที่วรรณคดีรามเกียรติ์
ที่มุ่งหลักการสำคัญ คือความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่ว
พระราม ถือเป็นตัวแทนของความดี-ลูกที่ดี, ผัวที่ดี, แม่ทัพที่ดี, กษัตริย์ที่ดี
ในขณะที่ทศกัณฐ์เป็นตัวแทนของความชั่ว และชั่วไปเสียทุกสถานะ
เมื่ออำนาจของความดีและความชั่วมาปะทะกัน
อย่างไรเสียความดีก็ต้องได้ชัยชนะ
พระรามจึง “ศักดิ์สิทธิ์” อย่างยิ่งในทัศนะของแขกและไทยโบราณ
ไม่ใช่เพราะพระรามเป็นอวตารของพระเจ้าเพียงอย่างเดียว
แต่เพราะพระรามเป็นหลักการนิรันดรที่ครอบงำมนุษย์ด้วย นั่นคือความดีที่ต้องอยู่เหนือความชั่ว
และหลักการปกครองที่จะทำให้ความดีชนะความชั่วตลอดไป
เรื่องรามเกียรติ์เป็นประเด็นขึ้นอย่างที่ทุกคนทราบ
นั่นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อ้างตัวเป็นพระราม อยากจะแผลงศรให้ศัตรูของตนราพณาสูรไปหมด
ส่วนนักการเมืองแวดล้อม บางคนคิดว่าตนเป็นพิเภก เพราะรู้อดีตและอนาคตดี
อีกคนคิดว่าตนเป็นสีดา คงเพราะเป็นที่แย่งชิงของทุกฝ่าย
“ผู้สูงอายุ” เหล่านี้ต่างแสดงให้เห็นว่าเขารู้เรื่องราวของ “เรื่องเล่า” รามเกียรติ์อย่างดี
และหยิบมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัว–ดีต้องชนะชั่ว
แต่อาจารย์นิธิกลับเสนอมุมกลับ
นั่นคือ คนรุ่นใหม่ยุคนี้ กลับสามารถวิพากษ์ และให้ความหมายใหม่แก่ “เรื่องเล่า” เดียวกันนี้อย่างแหลมคม
ดี-ชั่ว มิใช่ “กรอบ” อันตายตัว หากแต่มองได้อีกหลายแง่มุม
ความคิดในเชิงวิพากษ์นี้แหละ ที่อาจารย์นิธิสรุปว่า
“…คือสิบหน้ายี่สิบมือ ที่ทำให้ไพร่สามารถต่อสู้ได้หลายชั้นหลายเชิง
เกิดอำนาจในการจัดการกับเรื่องเล่าที่ชนชั้นสูงแต่งขึ้นได้หลากหลายวิธี
จนชนชั้นสูงตามไม่ทัน
และนี่คือเหตุผลที่พวกเขา (ชนชั้นสูง) จำเป็นต้องทำให้เรื่องเล่าของเขา
เหลือแต่เพียงเรื่องราวหรือนิทาน และศีลธรรมแบบของเขาที่แฝงอยู่ในนิทานเท่านั้น” •