ขอแสดงความนับถือ/ฉบับประจำวันที่ 17-23 ธันวาคม 2564

ขอแสดงความนับถือ

 

“…ท่านที่มีสติสัมปชัญญะเป็นปกติ ก็คงจะรู้สึกได้เหมือนกันหมดล่ะครับว่า

บ้านนี้เมืองนี้ มันไม่ปกติ

อันที่จริงความไม่ปกตินี้เป็นเรื่อยมากว่า 10 ปีแล้ว

แต่ยิ่งนานไป กระบวนการเพื่อการสืบทอดอำนาจยิ่งเพิ่มความไม่ปกติมากขึ้นทุกที

กติกาบ้านเมืองที่ควรจะเป็นของทุกคน กลายเป็นเรื่อง ‘design มาเพื่อเรา’

แล้วมันจะเหลืออะไร

เลือกตั้งด้วยกติกาพิลึกพิลั่น ที่มีวัตถุประสงค์หลักคือ ลดทอนศักยภาพของพรรคการเมือง

เพิ่มอำนาจให้ ‘มือที่มองไม่เห็น’ (แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเอาเข้าจริงแล้วมีมือใครบ้าง)…”

 

“…ปรากฏการณ์ที่พยายามทำเรื่องผิด เรื่องไม่ชอบธรรม ให้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ปกติเสียที่ไหน

…เอากันให้เห็นๆ ไปเลยดีกว่า ว่าถ้าใคร ‘อยู่เป็น’ รับรองว่าสบายทุกราย

ต่อให้เคยมีประวัติเสียหายร้ายแรงอย่างไร ถ้าจะตั้งให้เป็นใหญ่เป็นโต ให้มีตำแหน่งในรัฐบาลเสียอย่าง ก็จะทำ

ใครจะทำไม

รุกที่ป่าเป็นร้อยๆ ไร่ พอคนจับได้ รีบแจ้นไปคืน ก็มีคนออกมาการันตีให้ว่า พ้นผิด ไม่ต้องติดคุก

แต่คนจน คนเกิดบนที่ดินของตัวเอง เดินแถวกันติดคุกไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่

ทำกันได้ถึงขนาดนั้น

หรือถ้าเป็น ‘ผู้กลับใจ’ ข้ามจากฟากโน้นมาอยู่ฟากนี้

ต่อให้มีคดีติดตัว ก็ช่วยปัดเป่าได้

ที่เป่าไม่ได้ ก็ให้หมายจับเหน็บมาบนหลังเต่า

ภาษิตที่ว่า ความยุติธรรมที่ล่าช้าหรือความอยุติธรรม อะไรนั่น

ไม่ต้องไปสนใจ”

 

“…ข้ามมาอีกฝั่ง

ถ้าอยู่ไม่เป็น ถ้ามีเค้าลางว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง (ของบางคนบางกลุ่ม)

ต้องเอามันให้ตาย…

…หาช่องเอาตายให้ได้

ต้องล่าต้องไล่ ไม่ให้มีที่อยู่ ไม่ให้ขึ้นมาเล่นกันบนโต๊ะอย่างเปิดเผย

เหมือนจะผลักไสให้ลงไปเล่นใต้โต๊ะใต้ดิน (อย่างที่ท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายชอบทำ)

แล้วเกิดปรากฏการณ์อะไร

พอกดไว้มากๆ แรงดันก็พวยพุ่งออกมา…”

 

“…ความเป็นจริงอย่างหนึ่งที่ประวัติศาสตร์ (ทั้งของโลกและของเรา) บอกเอาไว้ก็คือ

ความไม่ปกตินั้นจะนำผลสรุปที่ไม่ปกติตามมา

จะเป็นรูปแบบไหนเท่านั้นเอง

ความวิปริตพิกลพิการนั้นไม่เคยให้ผลพวงที่เป็นความปกติได้

บทสรุป (ของสถานการณ์รวมๆ ในช่วง 1-2 ทศวรรษ) ของบ้านนี้เมืองนี้ จะเป็นไปตามแนวที่ว่าหรือไม่

เชื่อว่าทุกท่านคงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว

ขอยืมพุทธภาษิตเก่าที่เอามาใช้หลายครั้งแล้วมาใช้อีกหนเถอะครับ

วินาศกาเล วิปริต พุทธิ

เมื่อถึงคราวจะวินาศฉิบหาย สติปัญญาจะวิปริตบิดเบี้ยวไปก่อน

ขอตัวไปอ่านเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาสักครู่

แล้วสวดมนต์ก่อนนอนอีกสักสามจบเพื่อทำใจ…”

 

ข้อความทั้งหมดข้างต้น

เป็นข้อเขียนของฐากูร บุนปาน

ปรากฏในคอลัมน์ “ของดีมีอยู่” มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20-26 ธันวาคม 2562

ขออนุญาตนำข้อเขียนนี้มาให้อ่านซ้ำอีกครั้ง

“จงใจ” ซ้ำในห้วงเวลาแห่งเดือนธันวาคมเดียวกัน

ด้วย 18 ธันวาคม 2564 นี้

มีพิธีฌาปนกิจ ส่ง “ฐากูร บุนปาน” ไปสู่ภพภูมิที่ดีโดยสมบูรณ์

คงเหลือไว้เฉพาะในสิ่งที่ “ฐากูร บุนปาน” เขียนไว้

เขียนให้เราตระหนักว่า

ประเทศไทยยังไม่ไปไหน

คงติดหล่มความวิปริต เหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม อย่างไม่เสื่อมคลาย

 

และไม่เพียงข้อเขียนข้างต้น

ในหนังสือที่รำลึกพิธีฌาปนกิจของ “ฐากูร บุนปาน” จะเห็นความพยายามในการตอกย้ำเรื่องนี้อย่างแจ่มชัด (อ่านรายงานพิเศษ หนังสือรำลึก “สุดท้าย” / ฐากูร บุนปาน/สะพานเชื่อม/สู่ความเท่าเทียม/และลดความเหลื่อมล้ำ หน้า 12)

ซึ่งก็คงเป็นภารกิจของคนที่อยู่ข้างหลังที่จะช่วยกันทำให้ไทยพ้นภาวะวิปริตดังกล่าวต่อไป

และร่วมหวังไปกับฐากูร บุนปาน

ที่เคยหวังไว้ในคอลัมน์ของดีมีอยู่ ห้วงท้ายปี ธันวาคม 2562

“…ให้เป็นอารยะถึงเนื้อใน

เสรีภาพปูใต้เป็นฐานสุด

เสมอภาคในความเป็นมนุษย์

ภราดรภาพฉุดพ้นชนชั้น”