ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 สิงหาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
ขอแสดงความนับถือ
สังคมไทยเป็นอย่างที่ “ไมตรี รัตนา” ว่าไว้
คือ ถูกทำลายในเกือบทุกวงการ
ทำให้ “วิกฤต” แผ่ซ่านไปแทบทุกแห่ง
ซึ่งน่าห่วงใยยิ่ง
ในคอลัมน์ “ยุทธบทความ” ฉบับนี้
อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข จึงตอกย้ำอีกครั้ง
ในประเด็น “วิกฤตและความรุนแรง!/ความคับข้องใจทางการเมือง”
ซึ่งน่าจะเตือนใจ “ผู้กุมอำนาจ” ที่ถูกปกป้องด้วยกำแพงตู้คอนเทนเนอร์ “เก่า” ให้รู้สมรู้สา
หรือได้คิดอะไรบ้าง
อาจารย์สุรชาติเปิดคอร์ส “ทฤษฎีความรุนแรงทางการเมือง (political violence)” ให้ได้เรียนรู้
โดยบอกว่า ในวิชารัฐศาสตร์ถือว่าการขยายตัวของ “ความเกลียดชัง”
ที่ผสมผสานเข้ากับ “ความคับข้องใจ” ทางการเมือง ในท่ามกลางวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม
เป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างมาก
เพราะ “อารมณ์ทางการเมือง” จากความคับข้องใจ
คือตัวบ่งชี้ถึงแนวโน้มของการเกิดความรุนแรงทางการเมืองที่ชัดเจนในตัวเอง
กล่าวคือ วิกฤตก่อให้เกิดความคับข้องใจ ซึ่งจะเป็นตัวแปรตรงที่นำไปสู่การเกิดของความรุนแรงทางการเมือง
หรือโดยนัยคือวิกฤตเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพทางการเมือง
ในทางทฤษฎีในอีกด้านหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า วิกฤตเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเสมอ
โดยอาจกล่าวเป็นข้อสรุปได้ว่า…
“ไม่มีวิกฤตชุดใดจบลงโดยปราศจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง”
“ผู้กุมอำนาจ” จึงควรเข้าใจ “ทฤษฎีความรุนแรงทางการเมือง” ให้ดี
เพราะอยู่ในฐานะที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่าง “รอมชอม” หรือ “รุนแรง” ได้ทั้งสองทาง
โดยอาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข เตือนว่า ในการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
อาจเกิดสภาวะที่ปัญหาใหญ่เกินกว่าที่รัฐบาลจะสามารถแบกรับได้ (governmental overload)
สภาวะเช่นนี้ทำให้วิกฤตมีความหมายถึง “ความผิดปกติ” (dysfunction) ของระบบ เช่น ในทางการแพทย์ วิกฤตหมายถึง “ความผิดปกติของอวัยวะในร่างกาย”
ทำให้วิกฤตดังกล่าวกลายเป็น “วิกฤตการเมือง” (political crisis)
อันมีความหมายกว้างกว่าคำว่า “วิกฤตรัฐบาล” (government crisis)
ผลที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนาดใหญ่ได้
อีกทั้งในสภาวะเช่นนี้ มักจะมีความรุนแรงในการต่อต้านระบอบเก่าเกิดขึ้นด้วย
การเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์วิกฤตมีความรุนแรงเป็นส่วนประกอบเสมอ
และทำให้ข้อเรียกร้องที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาลและ/หรือผู้นำทางการเมืองเท่านั้น
แต่อาจมีการเรียกร้องในระดับที่กว้างขึ้น
คือ ต้องการเห็น “ระเบียบการเมืองใหม่” หลังจากการยุติของวิกฤต
“วิกฤตการเมือง” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ท้าทายโดยตรงต่อการดำรงอยู่ของระเบียบเก่าและชนชั้นนำเดิม (หรืออาจเรียกว่าเป็น “วิกฤตของระบบ” การเมือง)
ซึ่งระเบียบการเมืองใหม่ที่ว่าแม้อาจารย์สุรชาติจะยังไม่ได้ขยายเอาไว้ในที่นี้
“ระเบียบใหม่” ที่ว่า จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างไร
จะลงลึกขนาดไหน
วันนี้ยังไม่มีคำตอบ
แต่ก็หวั่นใจในกระแสที่ฝ่ายค้านประโคมว่า โรค “โอหังคลั่งอำนาจ” กำลังระบาด
จะทำให้สถานการณ์เพิ่มความเลวร้ายขึ้นอีกขนาดไหน