ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 พฤษภาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
ขอแสดงความนับถือ
11 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ครบ 120 ปี ปรีดี พนมยงค์
ณัฐพล ใจจริง ร่วมรำลึกผ่านคอลัมน์ My Country Thailand
ในหัวข้อ “คนรุ่นใหม่กับความใฝ่ฝันที่ไม่เคยล้าสมัย : รำลึก 120 ปี ปรีดี พนมยงค์”
“…แม้นนายปรีดีจะสร้างคุณูปการไว้มากมาย
แต่ความผันผวนทางการเมืองของไทยภายหลังการรัฐประหาร 2490
ทำให้เขาและคณะราษฎรพ้นออกจากอำนาจ
ตลอดจนกลุ่มอนุรักษนิยมพยายามสร้างภาพลักษณ์ของนายปรีดีให้กลายเป็นปีศาจทางการเมืองอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม
นับแต่กลางทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา
คนหนุ่ม-สาวพยายามฟื้นภาพของเขากลับมาสู่สังคมอีกครั้ง
นับแต่นั้น ภาพลักษณ์ อุดมคติและคุณูปการของเขา มิตรสหายและคณะราษฎรถูกนำมาฟื้นฟู และตีความใหม่
ให้กลับมาเปล่งประกายเป็นความรู้ใหม่ที่ท้าทายความรู้เก่า
อันเป็นแรงดลใจในการต่อสู้และความใฝ่ฝันแก่คนรุ่นถัดไปที่ต้องการสร้างความก้าวหน้าให้กับสังคมไทย
ดุจเดียวกับนายปรีดีและคณะราษฎร ผู้กล้าหาญเมื่อครั้งนั้น”
“ความรู้ใหม่ ที่ท้าทายความรู้เก่า” ที่ณัฐพล ใจจริง ขับเน้นว่า เป็นสิ่งที่ “คนหนุ่ม-สาวพยายามฟื้นภาพของปรีดี พนมยงค์ กลับมาสู่สังคมอีกครั้ง”
แม้จะขยายตัวไปอย่างไม่หยุดยั้ง
แต่ก็มีแรงเสียดทานอย่างไม่หยุดยั้งเช่นกัน
และแรงเสียดทานนั้น เราจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น
เมื่ออ่านคอลัมน์ พื้นที่ระหว่างบรรทัด ของชาตรี ประกิตนนทการ
ที่นำเสนอบทความ “ความคิดสร้างสรรค์ในวัฒนธรรมตีมือ”
อะไรคือ “วัฒนธรรมตีมือ”
ชาตรี ประกิตนนทการ สนใจปรากฏการณ์อะลัวพระเครื่อง, เค้กพระเครื่อง, พระพุทธรูปอุลตร้าแมน และทศกัณฐ์หยอดขนมครก
โดยมองว่า การเข้าไปใช้อำนาจขู่บังคับสั่งห้ามทำอะลัวพระเครื่อง, เค้กพระเครื่อง, พระพุทธรูปอุลตร้าแมน และทศกัณฐ์หยอดขนมครก
โดยอ้างเรื่องทำลายวัฒนธรรมของชาติ หรือลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น
คือตัวอย่างของ “วัฒนธรรมตีมือ”
“…วัฒนธรรมตีมือในสังคมไทยฝังตัวเองอยู่ในระดับลึกที่สุดภายในระบบการศึกษา
ครูอาจารย์คือนักตีมือตัวยง
พวกเขาคือคนที่ประสาทวิชาและให้ความรู้ นี่คือประโยคที่เราได้ยินเสมอตั้งแต่เด็ก
แต่สิ่งที่ครูอาจารย์ไม่ได้บอกหรือไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอยู่ก็คือ ครูอาจารย์ (ส่วนมาก) คือคนที่ประสาทวิชาความรู้เฉพาะเรื่องที่อยู่ภายในกรอบและภายในกรงเท่านั้น
นักเรียนคนไหนคิดต่างและกำลังจะก้าวออกนอกกรอบที่การศึกษาไทยขีดไว้ ครูอาจารย์จะเข้ามาทำหน้าที่ตีมือและดึงกลับเข้ามากรงอยู่เสมอ…”
คือข้อสังเกตของชาตรี ประกิตนนทการ
และย้ำว่า “วัฒนธรรมตีมือ” ที่มากจนล้นเกินนี้เอง
เป็นการสร้างบรรยากาศของความหวาดกลัว ที่ขัดขวางเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของการสร้างสรรค์
ชาตรี ประกิตนนทการ เรียกร้องให้ลดวัฒนธรรมตีมือลง
เพื่อสร้างเงื่อนไขให้คนกล้าที่จะคิดนอกกรอบ
กล้าออกจากกรง
กล้าขยายเพดานความคิด จนนำไปสู่การสร้างสรรค์ได้ในที่สุด
การลดวัฒนธรรมตีมือลง อาจทำให้เกิดงานที่แปลกแหวกขนบแต่ไร้ซึ่งการสร้างสรรค์ออกมาหลายพันชิ้น
แต่งานสร้างสรรค์ที่แท้จริงเพียงชิ้นเดียว
ก็มีคุณค่ามากมหาศาลยิ่งแล้ว
สําหรับคนรุ่นใหม่
เป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ที่ควรจะร่วมลด “วัฒนธรรมตีมือ” (อันหมายรวมถึงการจับกุมคุมขัง และตั้งเงื่อนไขการประกันตัวที่แสนยาก) ลง
แต่ตอนนี้ สังคมไทยเปิดกว้างหรือไม่
กรณีอะลัวพระเครื่อง ไปจนถึงการด้อยค่า 2475 คณะราษฎร ปรีดี พนมยงค์ เป็นคำอธิบายที่ดี