ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 เมษายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
กล้า สมุทวณิช เขียนในคอลัมน์ คนตกสี ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เรื่อง “วรรณกรรมซึ่งจ้องตาชี้หน้าอธรรม” (มติชนรายวัน 5 เมษายน 2560)
ไว้อย่างดีเยี่ยม
ดีเยี่ยมทั้งเรื่อง “มติชนอวอร์ด 2559”
และดีเยี่ยมทั้งเรื่อง “วรรณกรรมซึ่งจ้องตาชี้หน้าอธรรม”
อยากจะยกทั้งเรื่องมาลงซ้ำอีกครั้ง
แต่ด้วยข้อจำกัดในพื้นที่
จึงยกบางท่อนมาให้อ่าน
เกี่ยวกับ “มติชนอวอร์ด 2559”
กล้า สมุทวณิช บอกว่า เรื่องสั้นทั่วไปที่ได้รางวัลชนะเลิศ “ตายแล้วตายอีก” โดย ชิตะวา มุนินโท
โดดเด่นยิ่งในแง่ของการใช้ภาษา เสียดเย้ยอย่างลื่นไหล สนุกมือ เพื่อยั่วแย้ง
ตั้งคำถามกับสังคมพุทธแบบไทยๆ อย่างไม่ยำเกรง
ทั้งในเชิงวัฒนธรรมและในเชิงความประพฤติส่วนตัวของพระภิกษุสมมุติสงฆ์แบบไทยๆ ตลอดจนลำดับชั้นในสังคมเด็ก ผู้ใหญ่ และบรรพชิต
ทั้งหมดเป็นภาพสะท้อนสังคมที่ “ศาสนาพุทธ” เป็นใหญ่ครอบงำสังคมของไทยได้ด้วยภาษาและรูปแบบ
การเล่าเรื่องที่อ่านแล้วสนุกจดจ่อแทบลืมหายใจ อย่างลงตัวและน่าประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบ
ส่วนรองชนะเลิศ “ปราสาทใยแมงมุม” โดย องอาจ หาญชนะวงศ์ และรางวัลชมเชย “ปรารถนา” โดย มีเกียรติ แซ่จิว ก็เป็นเรื่องสั้นที่เขียนได้ดีและน่าประทับใจไม่แพ้กัน
สำหรับการประกวดเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ รางวัลชนะเลิศได้แก่ “การตัดสินใจของปัญญาประดิษฐ์” โดย ปิยะโชค ถาวรมาศ
ที่เล่าเรื่องของการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อปกป้องมนุษย์
แต่การตัดสินใจของมันเมื่อเวลานั้นมาถึงจริงจะเป็นอย่างไรก็เป็นประเด็นที่น่าใคร่ครวญ
ส่วนรองชนะเลิศประเภทนี้ได้แก่เรื่อง “นิพพานจักร” โดย วิวรรธน์ชัย และรางวัลชมเชย “พันธุกรรมมรณะ” โดย วิสันต์ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
เช่นเดียวกับรางวัลชนะเลิศประเภทบทกวี “ฮิปโปตัวเมียในกล่องบรรจุความทรงจำ” โดย ภู่มณี ศิริพรไพบูลย์ รองชนะเลิศได้แก่ “เท่านี้ก็พอ” โดย นาโก๊ะลี และรางวัลชมเชย “เสียงร้องของบุหลง” โดย เต ทินฺโนวาเท
(มติชนสุดสัปดาห์จะทยอยตีพิมพ์เรื่องที่ได้รางวัลตั้งแต่ฉบับนี้)
ส่วน “วรรณกรรมซึ่งจ้องตาชี้หน้าอธรรม”
กล้า สมุทวณิช ปูเรื่องมาตั้งแต่การที่เวทีของเรื่องสั้นและบทกวีในสิ่งตีพิมพ์ กำลังหดเล็กลงเรื่อยๆ
เพราะการปิดตัวลงของนิตยสารหลายต่อหลายฉบับที่เคยเป็นพื้นที่สำหรับงานวรรณกรรม
รางวัลมติชนอวอร์ดจึงประกาศเว้นวรรคการจัดประกวดไปสักระยะ
เพื่อให้พื้นที่หน้ากระดาษของมติชนสุดสัปดาห์นั้น “ว่าง” สำหรับให้บรรดานักเขียนเรื่องสั้นและบทกวีส่งผลงานมาบรรเลงให้วงการครื้นเครงไม่เงียบเหงาเกินไป
หากกล่าวกันอย่างยอมรับความจริง
งาน “วรรณกรรม” ประเภทที่เขียนเพื่อบูชาความงดงามของภาษาและศิลปะ
หรือมีเจตนารมณ์เพื่อสะท้อนปัญหาสังคมการเมืองนั้นอยู่ในสภาพเหมือน “สัตว์ป่าคุ้มครอง”
ด้วยจำนวนที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ จากสิ่งแวดล้อม คือความหลากหลายทางการอ่าน
กระทั่งกลายเป็นดั่ง “สัตว์หายาก”
อย่างไรก็ตาม กล้า สมุทวณิช ตั้งคำถามว่า
“…แต่ทำไมเรายังต้องเขียนต้องอ่านงาน “วรรณกรรม” กันอยู่
และผู้คนส่วนหนึ่งต้องเอาใจช่วยคุ้มครองเฝ้าระวังและประคับประคองไม่ให้งานเขียนประเภทนี้สาบสูญไปจากบรรณพิภพเล่า
อาจเพราะเป็นอย่างที่ อุทิศ เหมะมูล เขียนไว้ในหนังสือ “จักรวาลในหนึ่งย่อหน้า” ว่า
การอ่านไม่ใช่การหลีกหนีจากความเป็นจริงของบ้านเมืองอีกต่อไป
แต่คือการจ้องตากับเผด็จการบ้านเมืองด้วยสิ่งที่เราอ่าน
ฟังดูยิ่งใหญ่โหมเร้าอารมณ์อุดมการณ์จนน่าสงสัยว่าความคิดแบบนี้ยังเป็นจริงอยู่หรือไม่
แต่จากหลักฐานพยานที่พอจะยืนยันได้ คือการที่หนังสือบางเล่มยังคงเป็น “สัญลักษณ์” ของการต่อต้านหรือแสดงความหวาดระแวงต่ออำนาจรัฐ
เช่น นวนิยาย 1984 ของ จอร์จ ออร์เวล ซึ่งกลับมาเป็นหนังสือขายดีเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
เป็นการแสดงออกว่าผู้คนใช้การอ่านหนังสือเป็นเครื่องทบทวนเพื่อรู้เท่าทันต่ออำนาจของบรรดา “พี่เบิ้ม” ทั้งหลายผู้ยึดกุมอำนาจรัฐผ่านวรรณกรรมขึ้นหิ้งของโลก
หากจะกล่าวว่า “การอ่าน” นั้นคือการ “จ้องตา” กับเผด็จการด้วยความตื่นรู้
“การเขียน” ก็อาจเปรียบได้กับการ “ชี้หน้า” สิ่งอันไม่ชอบธรรมในสังคม
หรือชี้บอกสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในมุมลับมุมหลืบทั้งหลายในบ้านเมืองด้วยมือที่ถือปากกา หรือนิ้วที่ร่ายพรมลงไปบนแป้นพิมพ์…”
กล้า สมุทวณิช เชื่อมั่นว่างานวรรณกรรมสร้างสรรค์ “สัตว์หายาก” จะยังไม่สูญพันธุ์ง่ายๆ
สัญญาณชีพของมันแม้จะเบาแผ่วลงในบางจังหวะ
แต่ไม่เคยสักครั้งที่หยุดนิ่งเงียบงัน
พลิกไปอ่าน กวีนิพนธ์ รางวัลชนะเลิศ ของ ภู่มณี ศิริพรไพบูลย์
“ฮิปโปตัวเมียในกล่องบรรจุความทรงจำ”
แม้จะเปลือยเปล่า ด้วยไร้ฉันทลักษณ์
แต่ ฮิปโปตัวเมีย (สัตว์ป่าหายาก) กลับ เย้ยหยัน ลุ่มลึก
ด้วยหนังสือ 1984 …