ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ก่อสร้างและที่ดิน |
เผยแพร่ |
ช่วงเดือนมกราคม 2566 ตั้งแต่ต้นเดือนเป็นต้นมา บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆ ทยอยแถลงผลดำเนินการปี 2565 ที่ผ่านมาและแถลงเป้าหมายแผนงานปี 2566 กัน
ผลการดำเนินธุรกิจปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่กลับมาอยู่ในจุดก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 หรือกลับมาอยู่ในระดับเดียวกันปี 2562 แล้ว เรียกว่ากลับมาอยู่ที่พื้นฐานสถานการณ์ปกติ แต่ก็มีบางบริษัทที่ผลประกอบดีมากทำลายสถิติสูงสุดของบริษัท
การกำหนดเป้าหมายปี 2566 ได้แก่ จำนวนโครงการเปิดตัวใหม่ ยอดจอง ยอดรับรู้รายได้ และกำไรของแต่ละบริษัท พบว่า ทุกบริษัทตั้งเป้ามีอัตราเติบโตพอประมาณ ไม่หวือหวาโฉบเฉี่ยว สะท้อนถึงความระมัดระวังสถานการณ์ความผวนผันที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แสดงถึงวุฒิภาวะของธุรกิจอสังหาฯ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาววิกฤตการณ์ต่างๆ มา
แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากเป้าหมายและแผนเปิดโครงการใหม่ที่ผ่านมา ก็คือ แทบทุกบริษัทประกาศเพิ่มโครงการบ้านหรู ระดับราคาสูง 10-20 ล้านบาทขึ้นไป และขณะเดียวกันก็ลดจำนวนโครงการทาวน์โฮมระดับ 3-4 ล้านบาทลง
ด้วยเหตุผลแบบเดียวกันคือ เรื่องของกำลังซื้อ
การเพิ่มจำนวนโครงการบ้านหรูของบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดหรือมีแบรนด์โครงการบ้านหรูอยู่แล้ว อย่างเช่น แลนด์แอนด์เฮ้าส์, เอสซีแอสเซ็ท, แสนสิริ ถือเป็นเรื่องปกติที่เคยทำมาทุกปี
แต่การกำหนดเป้าชัดเจนว่าจะต้องขึ้นโครงการบ้านหรู ของผู้นำตลาดทาวน์โฮมหรือตลาดกลางและตลาดล่าง อย่างเช่น พฤกษา, เฟรเซอร์ฯ โฮม พร้อมกับลดจำนวนโครงการทาวน์โฮมน้อยลงกว่าที่ผ่านๆ มา ถือเป็นการปรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ปี 2566 เลยทีเดียว
เหตุผลการปรับทิศทางตลาดปีนี้ คำอธิบายของนายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเฟรเซอร์สฯ โฮม เห็นภาพชัดเจนที่สุด ข้อดีตลาดบ้านเดี่ยวคือยอดปฏิเสธสินเชื่อน้อย มีเพียงประมาณ 20-30% และที่สำคัญลูกค้ากลุ่มนี้ซื้อเงินสดถึง 67% โดยเฉพาะบ้านหรูราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์ ยอดปฏิเสธสินเชื่อประมาณ 50-60% เมื่อรวมกับการที่ยังมีสต๊อกเหลือประมาณ 50-60% จากมูลค่า 3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นบ้านแฝด ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงไม่เน้นเปิดทาวน์เฮ้าส์
เฟรเซอร์ฯ โฮมเตรียมตัวเปิดโครงการบ้านทุกระดับราคา 15-150 ล้านบาท ใน 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ เดอะโรยัลเรสซิเดนซ์ ราคา 80 ล้านบาทขึ้นไป, อัลพีน่า ราคา 40 ล้านบาทขึ้นไป และเดอะ แกรนด์ ราคา 20 ล้านบาท
ส่วนทางพฤกษา ปีนี้เตรียมจะเปิดเดอะปาล์ม ระดับราคา 20-40 ล้านบาท
และที่เป็นความหวังของบริษัทอสังหาฯ ทุกราย คือการเปิดประเทศของทางการจีน ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวจากจีนหลั่งไหลมาประเทศไทย สิ่งที่หวังคือกำลังซื้อคอนโดฯ จากชาวจีน
ก่อนการแพร่ระบาดโควิด กำลังซื้อจากชาวจีนซื้อห้องชุดในไทยปีละประมาณ 50,000 ล้านบาท เมื่อจีนเปิดประเทศให้คนจีนเดินทางเข้าออกสะดวก ก็คาดกันว่า ชาวจีนจะเดินทางออกมาท่องเที่ยวจำนวนมากเพราะถูก “อั้น” มานาน
ขณะเดียวกันเชื่อกันว่า นอกจากเดินทางออกมาท่องเที่ยวแล้ว ชาวจีนที่มีฐานะการเงินดีก็จะมองหาที่อยู่อาศัย “ทางเลือก” สำหรับธุรกิจและครอบครัวด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่างของรัฐบาลจีน ทำให้คนจีนที่มีฐานะร่ำรวยมีความกังวล
ดังนั้น กำลังซื้อจากจีนก่อนโควิด กับกำลังซื้อจากจีนหลังโควิด จะแตกต่างกัน ก่อนโควิดกำลังซื้อจีนส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่อลงทุนและเก็งกำไร ระหว่างโควิดแพร่ “ฟองสบู่” อสังหาฯ ในจีนแตกอารมณ์เก็งกำไรหดหาย การซื้อคอนโดฯ ในไทย จุดประสงค์จะเป็นการซื้อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เป็นทางเลือก
กำลังซื้อจีนจะเปลี่ยนจากกำลังซื้อเก็งกำไร เป็นกำลังซื้อเรียลดีมานด์ •
ก่อสร้างและที่ดิน | นาย ต.
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022