ท็อปส์ ออนไลน์ ปั้นทีมผู้ช่วยช้อปอาหารสดมือโปร “Professional Picker” มัดใจนักช้อปออนไลน์ สดโดนใจเหมือนเลือกด้วยตัวเอง

กรุงเทพฯ 30 มิถุนายน 2565 – ท็อปส์ ออนไลน์ (Tops online) แพลตฟอร์มซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์อันดับ 1 ของไทย ในเครือเซ็นทรัล รีเทล รับเทรนด์ E-Grocery โตต่อเนื่อง เผยพฤติกรรมนักช้อปยุคนิวนอร์มอลนิยมช้อปสินค้าโกรเซอรี่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสะดวกสบายและมีความคุ้นเคยกับวิธีการสั่งซื้อ ในขณะที่เมื่อต้องเลือกซื้ออาหารสด เช่น ผัก ผลไม้ ซีฟู้ด เนื้อสัตว์ต่าง ๆ จะมั่นใจมากกว่าหากได้เลือกซื้อสินค้าด้วยตัวเอง

               ปัจจุบันท็อปส์ ออนไลน์ มีสินค้าอาหารสดพร้อมส่งกว่า 5,000 รายการ อาทิ ผัก ผลไม้ ผักสลัดพร้อมทาน, เนื้อสัตว์ อาหารทะเล, เบเกอรี่ ไข่ ชีส นม ไส้กรอก, อาหารสดพร้อมทานและอาหารแช่แข็ง ฯลฯ  เพื่อยกระดับการให้บริการ สร้างความมั่นใจในการสั่งซื้อสินค้าอาหารสด จึงเปิดตัวทีม “Professional Picker” ผู้ช่วยช้อปอาหารสดมือโปร ทีมงานพิเศษที่มีความเชี่ยวชาญในการเลือกอาหารสดทุกหมวดหมู่ ผ่านการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นพร้อมให้บริการกว่า 150 คนทั่วประเทศ เพื่อเป็นตัวแทนในการคัดสรรอาหารสด ส่งต่อสิ่งที่ดีที่สุดถึงมือลูกค้า  พร้อมดูแลและใส่ใจในทุกความต้องการ โดยมีจุดเด่นในการให้บริการ คือ ลูกค้าสามารถระบุ ทุกความต้องการในการสั่งซื้ออาหารสดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในช่องหมายเหตุ (note) ที่หน้าสั่งซื้อสินค้า เช่น ต้องการทุเรียนเนื้อกรอบนอกนุ่มใน, กล้วยหอมแบบเขียวหรือเหลือง,เนื้อสัตว์หั่นลูกเต๋า สไลด์แบบชาบู หรือแบบสเต็กพร้อมระบุขนาดน้ำหนักที่ต้องการ , อาหารทะเล เช่น  ปลาขนาด 1-2 กิโล ฯลฯ ซึ่ง “Professional Picker” ผู้ช่วยช้อปอาหารสดมือโปร พร้อมเลือกสรรของสดให้ครบทุกความต้องการเสมือนเลือกซื้อด้วยตัวเอง จัดส่งอย่างรวดเร็วเพื่อคงคุณภาพ ความสดของสินค้าจนถึงมือลูกค้าที่บ้าน ในกล่องควบคุมอุณหภูมิทั้งแบบแช่เย็น แช่แข็ง ที่สำคัญรับประกันความพึงพอใจหากได้รับสินค้าไม่ได้คุณภาพ ยินดีคืนเงิน 100% (Freshness Guarantee 100%) ช่วยให้ผู้ซื้ออาหารสดผ่านแพลตฟอร์มท็อปส์ออนไลน์ แม้ไม่ได้สัมผัสและเลือกซื้อสินค้าโดยตรง แต่ก็มั่นใจในคุณภาพ ความสดของสินค้าเสมือนการไปเลือกซื้อด้วยตัวเองที่ร้าน                เพื่อฉลองเปิดตัว “Professional Picker” ผู้ช่วยช้อปอาหารสดมือโปร เพียงสั่งซื้ออาหารสดผ่านท็อปส์ ออนไลน์ ในวันที่ 1 -7 กรกฎาคม 2565 ครบ 600 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ ต้อนรับการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่กับเทพเจ้าแห่งสายฟ้าในภาพยนตร์ภาคต่อฟอร์มยักษ์ รับฟรี! บัตรชมภาพยนตร์ “Marvel Studios’ Thor: Love and Thunder ธอร์: ด้วยรักและอัสนี” จำนวน 1 ที่นั่ง และคูปองส่วนลดอีก 120 บาท                   ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก TopsThailand,  หรือแอปพลิเคชันไลน์ @TopsThailand,

เกี่ยวกับเซ็นทรัล รีเทลบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เซ็นทรัล รีเทล เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภทผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย (Multi-format and Multi-category) ในประเทศไทย และมีการขยายธุรกิจ ไปต่างประเทศ โดยเป็นผู้นำในประเทศอิตาลีและเป็นหนึ่งในผู้นำในประเทศเวียดนาม เครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีก 3,599 ร้านค้า (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564) อาทิ ห้างสรรพสินค้า, ร้านสะดวกซื้อ, ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, พลาซ่า และการจำหน่ายสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Omnichannel โดยธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล ครอบคลุมทั้งหมด 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่  (1) กลุ่มฮาร์ดไลน์ ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้าน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน หนังสือ และ e-Book ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ไทวัสดุ บ้าน แอนด์ บียอนด์ / บีเอ็นบี โฮม เพาเวอร์บาย ออฟฟิศเมท บีทูเอส เมพ และเหงียนคิม (2) กลุ่มฟู้ด ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภค และสินค้าที่มักพบได้ทั่วไปในร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท บิ๊กซี / GO! ลานชี มาร์ท ท็อปส์ มาร์เก็ต เวียดนาม และ   มินิ โก (go!) (3) กลุ่มแฟชั่น ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ซูเปอร์สปอร์ต และ เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป และ (4) กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมุ่งเน้นการให้เช่าพื้นที่สำหรับร้านค้าของกลุ่มบริษัทฯ และร้านค้าและบริการของบุคคลภายนอก เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ท็อปส์ พลาซ่า และ บิ๊กซี / GO! เวียดนาม โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 เซ็นทรัล รีเทล ดำเนินธุรกิจใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ทั้งหมด 57 จังหวัด, ประเทศเวียดนาม ทั้งหมด 40 จังหวัด, และประเทศอิตาลี ในเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564)