“เดอะ คอฟฟี่ คลับ” เผยความลับกาแฟคุณภาพระดับโลก คัดวัตถุดิบชั้นเยี่ยม ชงด้วยบาริสต้ามืออาชีพ พร้อมเปิดตัว 6 เมนูกาแฟใหม่ สะท้อนร้านกาแฟออลเดย์ไดนิ่ง ที่เสิร์ฟโมเมนต์ดี ๆ ที่มีได้ทุกวัน

กรุงเทพฯ 9 พฤษภาคม 2565 – เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club) โชว์การเป็นร้านกาแฟแบบออลเดย์ไดนิ่งชั้นนำ พร้อมเสิร์ฟเมนูกาแฟพรีเมียมหลากหลาย ทั้งแบบร้อน เย็น และปั่น ที่รังสรรค์จากวัตถุดิบคุณภาพทั้งเมล็ดพันธุ์กาแฟระดับพรีเมียม ส่วนผสมต่าง ๆ โดยเฉพาะนมที่มีหลากชนิดให้เลือกตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การดื่มกาแฟผู้บริโภคทุกกลุ่ม รวมถึงความสำคัญในเรื่องของคุณภาพในการให้บริการทั้งในเรื่องของบาริสต้าที่ได้รับการเทรนนิ่งอย่างมืออาชีพ และอุปกรณ์ในการทำกาแฟที่เป็นไปตามมาตรฐานของออสเตรเลีย เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจถึงรสชาติของเมนูกาแฟทุกแก้วในทุกสาขาที่เหมือนกัน พร้อมกันนี้ได้เปิดตัว 6 เมนูเครื่องดื่มกาแฟใหม่เอาใจคอกาแฟเลิฟเวอร์ เพื่อส่งมอบโมเมนต์ดี ๆ ที่มีได้ทุกวัน เริ่มต้นด้วยเมนูกาแฟแพลนต์เบสกับนมทางเลือกจากธัญพืชและพืช สำหรับกลุ่มลูกค้าสายรักสุขภาพและแพ้นมวัว ได้แก่ ลาเต้เย็นนมข้าวโอ๊ต คาปูชิโน่เย็นนมอัลมอนด์ คาปูชิโน่เย็นนมมะพร้าว และคาราเมลเย็นนมถั่วเหลือง รวมถึง 2 เมนู สำหรับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟในรสชาติที่แปลกใหม่กับเมนู เอสเพรซโซ่แพสชั่นโทนิค และเอสเพรซโซ่น้ำส้ม ที่มาพร้อมความสดชื่นและมีประโยชน์ โดยเมนูกาแฟใหม่ทั้งหมดพร้อมเสิร์ฟครอบคลุมทั้งการนั่งในร้าน เดลิเวอรี และ Grab & Go ผ่านทั้ง 31 สาขาทั่วประเทศ

นางนงชนก สถานานนท์

 

นางนงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเดอะ คอฟฟี่ คลับ ในฐานะร้านกาแฟแบบออลเดย์ไดนิ่ง นอกจากการให้บริการอาหารและเครื่องดื่มรสชาติดีมีความหลากหลายตลอดทั้งวัน อีกหนึ่งหัวใจหลักที่ทำให้ร้านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกกว่า 30 ปี คือ กาแฟ ที่ถือเป็นจุดเด่นของร้าน ปัจจุบัน เดอะ คอฟฟี่ คลับ ให้บริการเครื่องดื่มเมนูกาแฟหลากหลายทั้งแบบร้อน เย็น และปั่น ไม่ว่าจะเป็น แฟลตไวท์ อเมริกาโน่ เอสเพรซโซ่ อัฟโฟกาโต้ ลาเต้ คาปูชิโน่ มัคคิอาโต้ มอคค่า ฯลฯ เป็นต้น โดยเครื่องดื่มกาแฟทุกเมนู ลูกค้าสามารถเลือกเมล็ดพันธุ์กาแฟที่ต้องการได้ โดยมีให้เลือก 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ ซิกเนเจอร์เบลนด์ (Signature Blend) เหมาะกับคนที่ชื่นชอบกาแฟรสเข้มกำลังดี ไม่จัดเกินไป และ สยามเบลนด์ (Siam Blend) เมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้าจากดอยแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ที่ได้รับการปลูกและพัฒนาให้เข้ากับพฤติกรรมการบริโภคกาแฟของคนไทยที่มีความชื่นชอบกาแฟรสชาติเข้มข้น ในขณะเดียวกันลูกค้าสามารถเลือกว่าจะดื่มเป็นกาแฟที่มีคาเฟอีนปกติ กาแฟไม่มีคาเฟอีน (Decaf Coffee) รวมทั้งยังสามารถเพิ่มเติมส่วนผสมอื่น ๆ อาทิ การเพิ่มช็อตกาแฟ หรือจะเป็นเพิ่มไซรัปรสชาติต่าง ๆ รวมถึงวิปครีม ตลอดจนไอศกรีม ฯลฯ ได้ตามต้องการอีกด้วย

 

ล่าสุด เดอะ คอฟฟี่ คลับ ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคทุกกลุ่ม จึงคิดค้นและรังสรรค์ 6 เมนูเครื่องดื่มกาแฟใหม่ เอาใจคอกาแฟเลิฟเวอร์ เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่รักสุขภาพ หรือแพ้นมวัว รวมถึงกลุ่มลูกค้าแพลนต์เบส (Plant-based) แต่ยังต้องการเสพรสชาติความเข้มข้นของกาแฟอย่างชัดเจน เริ่มต้นที่ 4 เมนูเครื่องดื่มแพลนต์เบสนมทางเลือกจาก ธัญพืชและพืช ประกอบด้วย เมนูไฮไลท์  ลาเต้เย็นนมข้าวโอ๊ต (Iced Latte Oat Milk) ที่ได้นำเข้าข้าวโอ๊ตมาจากออสเตรเลีย ซึ่งนมข้าวโอ๊ตมีคุณสมบัติพิเศษคือมีความเข้มข้นของตัวนมที่มากกว่า ทั้งยังมีความหอมมัน ไม่แตกตัว ซึ่งพอนำมาผสมกับกาแฟก็ยังมอบรสชาติความเข้มข้นของกาแฟได้อย่างชัดเจน ทำให้เข้ากับเมนูกาแฟได้เป็นอย่างดี ในราคาแก้วละ 145 บาท ตามมาด้วยเมนู คาปูชิโน่เย็นนมมะพร้าว (Iced Cappuccino Coconut Milk) กาแฟรสชาติเบา ๆ ผสมรสชาติกลิ่นความหอมเฉพาะตัวของนมมะพร้าว ในราคาแก้วละ 145 บาท และ คาราเมลเย็นนมถั่วเหลือง (Iced Caramel Soy Milk) คาราเมลเข้มข้นผสมกับนมถั่วเหลืองที่มีความหอมมันระดับปานกลาง ในราคาแก้วละ 145 บาท และ คาปูชิโน่เย็นนมอัลมอนด์ (Iced Cappuccino Almond Milk) การผสมผสานกาแฟเอสเปรสโซ และฟองนมอุ่น ๆ จากนมอัลมอนด์ที่ให้ความหอมเฉพาะตัวตอนดื่มอย่างลงตัวในราคาแก้วละ 135 บาท นอกจากนี้ สำหรับคอกาแฟที่ชอบรสชาติที่แตกต่าง เดอะ คอฟฟี่ คลับ ยังได้รังสรรค์อีก 2 เมนูกาแฟผสมน้ำผลไม้และน้ำโทนิคใหม่ล่าสุด ได้แก่ เอสเพรซโซ่แพสชั่นโทนิค (Espresso Passion) กาแฟผสมน้ำโทนิคให้ความซ่าบซ่าและชื่นใจไปพร้อมกัน และ เอสเพรซโซ่น้ำส้ม (Espresso Orange) กาแฟผสมน้ำส้มที่มอบความสดชื่นและมีประโยชน์ ในราคาแก้วละ 130 บาท เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถเลือกเมนูเครื่องดื่มได้หลากหลายตามความต้องการ พร้อมกันนี้ลูกค้าสามารถอิ่มอร่อยไปกับเมนูของว่างใหม่มากมายที่มีให้เลือกจับคู่ทานพร้อมเครื่องดื่มได้ดั่งใจ ไม่ว่าจะเป็น Cranberry Pie, Chocolate Delight Tart, Parisian Ham Brie Kraftkorn Sandwich, Filled Croissant – Yuzu, Truffle Honey Brie Croissant และ Truffle Mushroom Cranberry Cruffin หรือจะเลือกทานคู่กับ Sweet Breakfast  2 เมนูขนมหวานใหม่ล่าสุดอย่าง Pancake with Berry Homemade รวมถึง Strawberry Waffle Homemade เพื่อให้อิ่มท้องมากขึ้นได้เช่นกัน

ด้าน นางสาวกรรฑิมา ไผ่สะอาด บาริสต้า เทรนเนอร์ เดอะ คอฟฟี่ คลับ เปิดเผยว่า สำหรับเมล็ดกาแฟที่ใช้ในร้าน เดอะ คอฟฟี่ คลับ ทั้ง 2 ประเภท เริ่มต้นที่ ซิกเนเจอร์เบลนด์ (Signature Blend) เป็นการผสมผสานสายพันธุ์อาราบิก้า (Arabica) และโรบัสต้า (Robusta) เข้าด้วยกัน โดยอาราบิก้านำเข้าจากประเทศบราซิล และประเทศโคลอมเบีย ซึ่งจะมีความเข้มข้น และความหอมเฉพาะตัว ในขณะที่โรบัสต้านำเข้ามาจากประเทศอินเดีย ซึ่งจะให้ความกลมกล่อมพอดี โดยเมล็ดกาแฟทั้งหมดจะถูกนำมาคั่วเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในโรงงานของ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ที่ออสเตรเลีย และถูกบรรจุในตู้เย็นที่มีการรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับอุณหภูมิเดียวกันกับที่ใช้ในออสเตรเลีย เพื่อคงรสชาติความสดใหม่มากที่สุด ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางร้าน เดอะ คอฟฟี่ คลับ ทั่วประเทศไทย ทั้งนี้เมล็ดกาแฟซิกเนเจอร์เบลนด์จะถูกนำไปคั่วระดับปานกลาง (Medium Roast) เหมาะกับคนที่ชื่นชอบกาแฟรสเข้มกำลังดี ไม่จัดเกินไป เนื่องจากจะมีความเปรี้ยวเล็กน้อย แต่ยังให้สัมผัสความหวานชุ่มฉ่ำของเนื้อกาแฟ เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟนมอย่างแฟลต ไวท์ หรือลาเต้ รวมถึงกาแฟดำอย่างอเมริกาโน่ ในขณะที่ สยามเบลนด์ (Siam Blend) เป็นเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้าจากดอยแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ถือเป็นเมล็ดกาแฟพันธุ์ไทยที่ช่วยอุดหนุนเกษตรกรไทยที่ได้รับการปลูกและพัฒนาให้เข้ากับพฤติกรรมการบริโภคกาแฟของคนไทยที่มีความชื่นชอบกาแฟรสชาติเข้มข้น และหวานมันโดยเมล็ดกาแฟสยามเบลนด์จะถูกคั่วในระดับเข้ม (Dark Roast) เหมาะกับผู้บริโภคที่ชื่นชอบกาแฟเข้มข้น เนื่องจากรสชาติจะไม่หลงเหลือความเปรี้ยว และให้รสชาติสัมผัสของกาแฟหนักแน่น เหมาะสำหรับสำหรับคนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟคาปูชิโน่ และเอสเปรสโซ่

 

นอกจากเมล็ดพันธุ์กาแฟรวมถึงวัตถุดิบคุณภาพชั้นนำ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ยังให้ความสำคัญในเรื่องของคุณภาพในการให้บริการทั้งในเรื่องของบุคลากรและอุปกรณ์ในการทำกาแฟ โดยมีการกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ เช่น การกำหนดมาตรฐานในการบดกาแฟไม่เกิน 30 วินาที ด้วยการตั้งค่าช็อต (Shot) และมีการตรวจเช็คทุก 4 ชั่วโมง อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำกาแฟต้องมีการควบคุมมาตรฐานอุปกรณ์และเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เพื่อให้ได้มาตรฐานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบด หรือน้ำที่ใช้จากเครื่องกรองโดยเฉพาะเท่านั้น รวมถึงสิ่งสำคัญคือบาริสต้าของ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ทุกคนทุกสาขาจะผ่านเทรนนิ่งอันเป็นไปตามมาตรฐานประเทศออสเตรเลียทั้งหมด โดยบาริสต้าทุกคนจะมีความชำนาญในการชงกาแฟ รวมถึงสามารถแนะนำลูกค้าเพื่อให้ได้รสชาติกาแฟที่ถูกปากมากที่สุด ดังนั้นลูกค้าสามารถมั่นใจในมาตรฐานของกาแฟทุกแก้วในทุกสาขาของ เดอะ คอฟฟี่ คลับ ได้นางสาวกรรฑิมา กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club) โทรศัพท์ 02-365-6999 เฟซบุ๊กแฟนเพจ https://www.facebook.com/thecoffeeclubthailand  หรือเว็บไซต์ https://thecoffeeclub.co.th/

###

เกี่ยวกับ เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club)

เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club) ก่อตั้งขึ้นด้วยชื่อที่จดจำได้ง่าย จากการเปิดสาขาแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2532 ที่ Eagle Street Pier ในเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย จนมาถึงวันนี้ที่ขยายสาขาได้มากกว่า 400 สาขาใน 10 ประเทศทั่วโลก เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับคอกาแฟทั่วโลก มอบความรู้สึกสบาย มีสไตล์ เข้าถึงง่าย เดอะ คอฟฟี่ คลับใส่ใจในทุกรายละเอียด นำเสนออาหารและกาแฟที่ปรุงทุกเมนูขึ้นมาด้วยความใส่ใจ พร้อมบริการที่เป็นมิตร ที่แห่งนี้จึงเป็นมากกว่าสถานที่นัดพบ แต่เป็นที่                ที่ผู้คนสามารถพบปะกันเคล้าไปกับรสชาติของกาแฟ สำหรับประเทศไทย เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club) อยู่ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งได้รับความนิยมและเปิดขยายสาขา ปัจจุบันมี 31 สาขา ครอบคลุมทั้งในบริเวณย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ อย่าง ทองหล่อ ราชประสงค์ วิทยุ เอกมัย สีลม สุขุมวิท และในจังหวัดท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ เกาะสมุย หัวหิน พัทยา