เผยแพร่ |
---|
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกบริบทของโลกการค้าในปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ หรือ New Gen กลายเป็นความหวังหรืออนาคตของหลายๆ ครอบครัว หลายๆ ธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่ปัจจุบันต้องการแนวคิดและมุมมองของคนรุ่นใหม่มาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที จนสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างน่าชื่นชม
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ในฐานะหนึ่งในผู้นำที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มธุรกิจ SME มาตลอด จึงได้นำแนวคิดตลอดจนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ 2 SME รุ่นใหม่ ที่สามารถพัฒนาสินค้าให้ครองใจผู้บริโภคได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และมีอัตราการเติบโตที่น่าจับตาในเซเว่น อีเลฟเว่น อย่างเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ “Double C” และ “บ้านทองหยอด” ขนมไทยที่มีชื่อเสียงยาวนานกว่า 40 ปี เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ที่น่าสนใจให้กับ NEW GEN SME
Double C : มองหาโอกาส เดินหน้าให้ไว มีวินัยด้านการเงิน
เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลาดครื่องดื่มประเภทไม่มีแอลกอฮอล์แบบพร้อมดื่มเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ โดยมีการคาดการณ์จากศูนย์วิจัยกสิกรไทยว่าในปี 2564 มูลค่าตลาดจะอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 0.5-1.5% ภายใต้ตลาดที่มีขนาดใหญ่นั้นก็มีการแข่งขันที่สูงเช่นกัน ทำให้ SME หลายรายถอดใจไม่กล้าที่จะเข้ามาในตลาด
แต่สำหรับคู่พี่น้องผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่วัยเพียง 27 และ 25 ปี ชนินทร์ เฮ้งเจริญสุข และ สรวิศ เฮ้งเจริญสุข 2 กรรมการผู้จัดการ บริษัท หนองคายเพาเวอร์ดริ๊งก์ จำกัด เจ้าของ SME เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ “Double C” กลับไม่คิดเช่นนั้น ชนินทร์ หนึ่งในผู้บริหาร เล่าย้อนความให้ฟังว่า เดิมทีทำธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง แต่ด้วยสภาพการแข่งขันที่สูงของตลาด ทำให้บริษัทประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ผมกับน้องชายจึงมองหาธุรกิจใหม่ โดยใช้ต้นทุนเดิมที่เรามีคือ เครื่องจักร และพบว่าตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเดินหน้าผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ “Double C” แต่ด้วยสภาพคล่องทางด้านการเงิน จึงจำเป็นต้องขายทรัพย์สินที่มีอยู่ เพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
“เมื่อต้องเดินหน้าบนพื้นฐานของต้นทุนเดิม ผมกับน้องชายจึงต้องศึกษาหาข้อมูลของตลาดเครื่องดื่มอย่างหนัก และพบว่า สินค้าเพื่อสุขภาพมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคู่แข่งยังไม่มาก จึงตัดสินใจที่จะทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ Double C โดยเข้าไปคุยกับทางเซเว่น อีเลฟเว่น ถึงแนวคิดดังกล่าว และทางเซเว่นก็ให้โอกาสเราได้ทำ ซึ่งเงินทุนที่ใช้ในตอนนั้นต้องบอกว่าเป็นเงินทุนหมุนเวียนจริงๆ ทุกอย่างต้องเป็นเงินสด เพราะเรายังมีหนี้อยู่เยอะ แบงก์ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ทำให้เราต้องรู้จักบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้ดี ควบคู่ไปกับการสร้างวินัยที่ดีด้านการเงินกับสถาบันการเงิน และในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เซเว่นเองก็ช่วยร่นระยะเวลาเครดิตให้จากเดิม 90 วัน เป็น 45 วัน ทำให้เรามีสภาพคล่องในการดำเนินงานมากขึ้น” ชนินทร์ กล่าว
ด้าน สรวิศ ผู้บริหารอีกท่านหนึ่ง กล่าวเสริมว่า เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง Double C ก็ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2561 ภายใต้สโลแกน เครื่องดื่มวิตามินซี 200% ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี เพราะรสชาติที่ถูกปาก พร้อมคุณประโยชน์ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพในหลากหลายรสชาติ เช่น รสเลม่อนและมะนาว, รสส้มและเลม่อน, รสพีชและลิ้นจี่, รสเสาวรสและส้ม ในราคาเข้าถึงได้ง่ายเพียงขวดละ 15 บาท จึงทำให้ในปี 2562 บริษัทมีอัตราการเติบโตกว่า 300 % และก็เติบโตอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
“แม้ว่าสินค้าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่เราก็ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและต้องให้ไว เพราะตลาดนี้มีผู้สนใจจำนวนมาก หากเราช้าหรือหยุดพัฒนา จากผู้นำเราก็จะกลายเป็นผู้ตามในทันที ล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท เฟอร์โร เพอร์ฟอร์แมนซ์ แมททีเรียลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการผลิตสารเคลือบผิวสำหรับอุตสาหกรรม นำสารเคลือบผิวมาใช้ในการผลิตขวดใส ผ่านทาง บริษัท เวลโกรว์ กล๊าส อินด์ดัสทรี จำกัด (WGI) บริษัทโรงงานผลิตขวดชั้นนำของประเทศไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าเครื่องดื่ม Double C จะให้วิตามินซีครบ 200% ด้วยนวัตกรรมขวดใสป้องกันแสง เจ้าแรก และเจ้าเดียวในประเทศไทย พร้อมขยายตลาดสู่กลุ่มประเทศ CLMV ในปีหน้า” สรวิศ กล่าวทิ้งท้าย
ขนมไทยบ้านทองหยอด : ค้นหาจุดแข็ง รักษามาตรฐาน พัฒนาต่อเนื่อง
แม้วันนี้ธุรกิจขนมไทย ภายใต้แบรนด์ “บ้านทองหยอด” จะถูกส่งไม้ต่อให้กับทายาทรุ่นที่ 3 แต่คุณภาพและรสชาติยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยมากว่า 40 ปีแล้วก็ตาม ภาณุวัฒก์ เงินศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีทีวาย ฟู้ด จำกัด เจเนอเรชันที่ 3 ของผลิตภัณฑ์ขนมไทย “บ้านทองหยอด” เล่าให้ฟังว่า แม้ตนเองจะเป็นรุ่นหลานที่เห็นธุรกิจนี้มาตั้งแต่เกิดก็ตาม แต่การเข้ามารับบริหารงานต่อก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกอย่างมีความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็น ช่องทางการตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค แต่สิ่งหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ในธุรกิจขนมก็คือ “รสชาติ”
“จุดแข็งของขนมไทยบ้านทองหยอด คือ มีรสชาติกลมกล่อม หอมอร่อย วัตถุดิบผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี ให้ความสำคัญและใส่ใจทุุกขั้นตอนการผลิต และถูกหลักอนามัย ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด จุดแข็งเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ โดยเรายังคงมุ่งมั่นรักษามาตรฐานเป็นอย่างดี ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรายังคงได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมาตลอด”
นอกจากนี้เรายังต้องพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับขยายช่องทางการตลาดเพิ่มเติม จากเดิมในตอนแรกทำเฉพาะขนมทองหยอดและขนมทองหยิบจำหน่ายในตลาดสดเพียงช่องทางเดียว ก็พัฒนามาทำฝอยทองและเม็ดขนุนเพิ่มเติม เนื่องจากสามารถนำไปประยุกต์ในตลาดเบเกอรี่ได้ กระทั่งในปี 2560 และมองเห็นโอกาสในตลาดโมเดิร์นเทรด จึงเข้ามานำเสนอสินค้ากับทางซีพี ออลล์ และได้รับโอกาสนำขนมไทยบรรจุกล่องมาวางจำหน่าย ภายในกล่องประกอบด้วยขนม 3 ชนิด ได้แก่ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุนมาจำหน่ายที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในพื้นที่ภาคใต้เป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค กระทั่งปัจจุบันสินค้าดังกล่าวจำหน่ายที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ
แม้ว่ารสชาติขนมจะได้มาตรฐาน รสชาติคงที่ และตรงตามความต้องการของตลาด แต่เราก็ไม่อาจที่จะหยุดพัฒนาโดยเฉพาะเรื่องการตลาด การพัฒนาสินค้า และการทำแพ็กเก็จจิ้ง โดยทางทีมงานของเซเว่นได้ให้คำแนะนำและให้ความรู้ในส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “ฝอยทองรังนก” ซึ่งทางเซเว่น ก็ได้เข้ามาให้ความรู้เช่นเดิม ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับดีเป็นอย่างดี
จากแนวคิดและมุมมองของผู้บริหาร NEW GEN ทั้ง 2 บริษัท เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า คนรุ่นใหม่ คืออีกหนึ่งความหวังและกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ SME ให้สามารถก้าวผ่านทุกการเปลี่ยนแปลงในทุกบริบทของโลกการค้าได้อย่างน่าชื่นชม