บริสุทธิ์ ประสพทรัพย์ : อินเดีย ชีวิตประตูน้ำ กับภารตะแห่ทัวร์ไทย 1.41 ล้านคน

สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยพักนี้ยังวิกฤตอยู่กับทัวร์จีน ที่เริ่มลดง่ายหายวูบไปตั้งแต่ 1-7 ตุลาคม ช่วง Golden Week สัปดาห์ทองฉลองวันชาติจีน ที่คนจีนนิยมออกทัวร์ต่างประเทศ มาไทยช่วงนี้ปีละ 3 แสนคน ตามที่ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท.เคยเผยไว้

แต่ปีนี้ลดลงกว่า 14-40% กับมีแนวโน้มจะลดลงต่อเนื่อง จากแรงกดดันหลายเรื่อง

เช่น กรณีคนไทยเริ่มออกอาการรังเกียจลักษณะนิสัยคนจีน กับเหตุเรือฟีนิกซ์ล่มที่เกาะภูเก็ต

ต่อมาหญิงจีนประสบภัยที่น้ำตกโตนงาช้าง อ.หาดใหญ่ ถึงชีวิต

ต่อมานักท่องเที่ยวจีนอีกคนถูก รปภ.สนามบินสุวรรณภูมิตบหน้าฉาดใหญ่

ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยลบกระทบท่องเที่ยวไทยทั้งนั้น

ช่วงปลายสัปดาห์ทองทัวร์จีน ก็พลันเกิดแก๊งประตูน้ำกับแก๊งตึกแดงบางซื่อ ยกพวกตะลุมบอนกันด้วยอาวุธสงครามที่หาง่ายกว่าไม้คมแฝก นักเลงยุคซิกซ์ตี้เสียอีก

ส่งผลให้นักท่องเที่ยวอินเดียถูกกระสุนลูกหลงเสียชีวิตทันที 1 คน บาดเจ็บอีก 3 เป็นคนอินเดีย ลาว และไทย

ผีช่างซ้ำด้ำพลอยท่องเที่ยวไทย กับข่าวที่ถูกเผยแพร่ออกไป ซึ่งอาจทำให้ชาวโลกมองไทยเป็นแดนไกลปืนเที่ยง ไม่ปลอดภัยต่อการเสี่ยงมาท่องเที่ยว!

 

แต่กับตลาดอินเดีย นักวิเคราะห์ตลาดท่องเที่ยวไทยกลับไม่คิดเช่นนั้น ด้วยเขาเชื่อว่าคงจะชะลอตัวระยะสั้นๆ แล้วฟื้นคืนสู่ภาวะปกติ เพราะไทยมีต้นทุนเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับคนอินเดียมานาน

ตลาดประตูน้ำจัดเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวอินเดียให้มาช้อปปิ้งสินค้าประเภทเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋า เพราะราคาถูกและมีให้เลือกมากมาย โรงแรมย่านนี้ขยันส่งมือตลาดไปบุกเจาะชวนคนอินเดียมาใช้บริการอยู่ตลอด

“เมื่อตอนเกิดเหตุการณ์ไม่สงบที่ประตูน้ำ ถึงขั้นจลาจลเผารถกันวอดวายตั้งแต่ปี 2522 และ 2556 แต่ละครั้งนักท่องเที่ยวอินเดียจะชวนกันออกจากโรงแรมไปยืนดู เหมือนดูการถ่ายทำภาพยนตร์สงคราม จบแล้วก็กลับมานั่งจิบกาแฟกันต่อ บอกเรื่องแบบนี้มีให้เห็นในอินเดียประจำ จนเป็นเรื่องธรรมดาไม่รุนแรงอะไรเลย” พนักงานโรงแรมนายหนึ่งเคยเผยไว้

จากรายงานการศึกษาพฤติกรรมนักท่องเที่ยวแดนภารตะ เมื่อเดือนตุลาคมปีนี้ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็บอกไว้ว่า คนจากตลาดนี้ไม่รู้สึกอ่อนไหวสะทกสะท้านกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะมีความต้องการมาเที่ยวไทยมากกว่า ด้วยเห็นว่าอยู่ใกล้

และเมื่อมาเที่ยวทั้งทีต้องให้ได้หลายประเทศ จึงชอบที่จะรวมเอาสิงคโปร์กับมาเลเซียไว้ด้วย เนื่องจากค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก วัฒนธรรมและวิถีชีวิตมีคล้ายๆ กัน

ทุกวันนี้ตลาดอินเดียกำลังบวกเพิ่มฮ่องกงกับดูไบไว้ในรายการท่องเที่ยว โดยไทยยังโชคดีที่ได้รับใบบุญรวมอยู่กับพันธมิตรทั้ง 2 แห่งด้วย

 

ด้านองค์การท่องเที่ยวโลก หรือ World Tourism Organization – UNWTO ก็ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าว่า ปี 2020 หรือ พ.ศ.2563 คนอินเดียจะเที่ยวนอกประเทศมากถึง 50 ล้านคน ด้วยปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีอัตราเติบโตรวดเร็ว 7.4% และ 7.8% ปีหน้า

คนชั้นกลางอินเดียยุคนี้ก็น่าจับตามองตรงที่เริ่มมีคุณค่าต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ โดยมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศระดับต้นๆ ของโลก

ทำให้พวกเขามีเงินทุนท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น

UNWTO จึงวิเคราะห์ต่อไปอีกว่า ชาวภารตะอาจเปลี่ยนจุดหมายใหม่ ไปเที่ยวออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟิจิ สเปน และแอฟริกาใต้ แทนไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย

ถึงกระนั้น…ณ วันนี้ไทยยังเป็นแม่เหล็กสำคัญสำหรับตลาดอินเดีย

โดยเมื่อปีที่แล้วเข้ามาเที่ยว 1.14 ล้านคน กับมีอัตราเพิ่มขึ้น 8% ทุกปี

กรุงเทพฯ ยังถือเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักสูงถึง 65.90% รองลงมาคือชลบุรีที่พัทยา 51.04% ภูเก็ต 20.21% ตามด้วยกระบี่ 9.54% สมุย 4.52% ขณะที่เชียงใหม่ยังอยู่ที่ 3.06%

และระยองนิ่งอยู่ที่ 1.30%

 

ถ้าเปิดปูมหลังภารตะเที่ยวไทยยุคต้นๆ เชื่อว่าคนไทยยังติดอยู่กับภาพแขกขายถั่ว ขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์หรืออยู่เวรยาม ถึงเวลาก็ออกไปต่อวีซ่าสถานกงสุลไทยในเวียงจันทน์ หรือปีนัง

ยุคถัดมาเริ่มมีกลุ่มตลาดล่างที่พอจะมีเงินเที่ยวไทย เพราะราคาทัวร์ถูกเมื่อเทียบกับเงินสกุลรูปี แต่กลุ่มนี้ใช้วิธีขนโทรทัศน์จอแบนบ้านเรากลับไปขายเพราะตอนนั้นที่นั่นปลอดภาษี

กลุ่มนี้บางรายเป็นนักท่องเที่ยว Re-Visit กลับมาซ้ำอีกครั้งกับทัวร์เอเย่นต์แบบตัวเปล่า แต่พอกลับไปแบกโทรทัศน์จอแบนไปขาย

จนทางการอินเดียวางมาตรการเรียกเก็บภาษี คนกลุ่มนี้ถึงหายไปในที่สุด

อีกกลุ่มมาทัวร์พัทยาแล้วต้องข้ามฝั่งไปเกาะล้าน ไปถึงถอดเสื้อผ้าเหลือแค่ลิงตัวน้อยลงทะเล ดำผุดดำโผล่จับหอยจับปูในหมู่นักท่องเที่ยวสาวชาวโสม ชาวจีน รวมถึงญี่ปุ่น ไต้หวัน ทำเอาเจ้าหน้าที่ไทยแก้ไม่ตก เพราะเป็นความผิดใต้ท้องทะเล ไม่ปรากฏซึ่งหน้า

เหล่านี้เป็นข้อมูลความจริงของนักท่องเที่ยวตลาดนี้ และจากรายงานการศึกษาพฤติกรรมนักท่องเที่ยวฉบับเดียวกัน ยังพบเพิ่มเติมอีกว่า ผู้ประกอบการไทยบางส่วนยังมีทัศนคติไม่สู้ดีต่อคนอินเดีย และชอบเลือกรับลูกค้าที่ตนชอบ

ซึ่งเป็นปัญหาคาใจทั้งคนอินเดียและเอเย่นต์ทัวร์ไทยจนทุกวันนี้

 

กระนั้น…หากจะว่ากัน ตลาดอินเดียมีแต่จะหอมหวนยวนยั่วบรรดาทัวร์เอเย่นต์และธุรกิจท่องเที่ยวไทยมากขึ้นในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา

เมื่อเกิดมีกลุ่มคนอินเดียระดับกลางที่มีรายได้เฉลี่ยปีละ 3 ล้านบาทขึ้นไป คิดหลีกหนีการจัดพิธีแต่งงานในบ้านเมืองตน อันเนื่องมาจากการใช้บริการภายในสถานบริการที่นั่นจะต้องจ่ายค่าภาษีซ้ำซ้อน

อาทิ ภาษีค่าบริการ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสนับสนุนการศึกษา และอย่างอื่น ทำให้เกิดมูลค่าสูงมหาศาล โดยเฉพาะการจัดงานเลี้ยงแขกเหรื่อเพื่อฉลองแต่งงานในโรงแรมขนาดใหญ่

สู้ชวนญาติมิตรเรือนร้อยบินมาจัดพิธีในเมืองไทยไม่ได้ เพราะมีศาสนสถานฮินดูรองรับ สามารถจัดเลี้ยงกันในโรงแรมพร้อมอาหารอินเดีย เสร็จแล้วฮันนีมูนกันบนแผ่นดินนี้

รวมบิลแล้วถูกกว่าจัดในบ้านตัวเองเสียอีก

ตรงนี้จึงกลายเป็นจุดขายระดับแม่เหล็กที่ช่วยเพิ่มรายได้ทางการท่องเที่ยวสำหรับตลาดอินเดีย แม้จะไม่ใช่กลุ่มตลาดไฮเอนด์อินเดียเสียทีเดียว เพราะกลุ่มหลังนี้ที่มีอยู่ราว 1.75 ล้านครัวเรือน จากประชากร 1.3 พันล้านคนนั้น นิยมเดินทางไปอังกฤษมากกว่าแดนอื่น

อีกกลุ่มที่ถือว่ามาแรงในอัตราส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีขณะนี้เช่นกัน ได้แก่ กลุ่มเดินทางมาทำธุรกิจ กับกลุ่มไมค์มาจัดประชุมสัมมนาและนิทรรศการ

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเข้ามาถ่ายทำละครกับภาพยนตร์บันเทิง ที่นับวันจะขยายวงกว้างขึ้นทั้งผู้สร้างไปถึงผู้ชมกว่าพันล้านคน

ซึ่งหากทุกฝ่ายใส่ใจให้ความสำคัญตลาดนี้ อินเดียจะเป็นตลาดหนึ่งที่สามารถพัฒนาขึ้นทดแทนตลาดจีนได้ ที่ขณะนี้มีทีท่าว่าเริ่มจางหายไปแล้วระดับหนึ่ง

ชีวิตคนอินเดียที่คล้ายใบไม้ร่วงลงดินเพียงใบเดียวตรงแดนมิคสัญญีประตูน้ำ เสียงนั้นคงไม่ดังข่มขวัญชาวภารตะปีละ 1.41 ล้านคน ให้หายไปจากกระแสอินเดียเที่ยวไทยเป็นแน่

แต่ไม่สมควรเลยนะ…ที่จะปล่อยให้ร่วงปลิดขั้วกันซ้ำๆ ซากๆ จนกลายเป็นปัญหาพากันเดินตามก้นตลาดจีนไปอย่างน่าเสียดาย!?