เผยแพร่ |
---|
ท่าทีของ โทนี่ วู้ดซั่ม ต่อการเคลื่อนไหวของ #ทานตะวันแบม เป็นท่าทีของ”ผู้ใหญ่”
เปี่ยมด้วย “ความเมตตา” เปี่ยมด้วย”ความเข้าใจ”
เป็นความเมตตาของคนซึ่งเป็น”พ่อ”และดำรงอยู่อย่างอบอุ่นในครอบครัว ไม่เพียงแต่จากภรรยา หากที่สำคัญเป็นอย่างมากคือลูกและหลาน
เป็นความเข้าใจจากผู้ที่เคยผ่านการทำปริญญาเอกในสาขาวิชาว่าด้วยอาชญวิทยา เคยรับราชการเป็นตำรวจ เคยเป็นนักธุรกิจ และที่สำคัญคือการเป็นนักการเมือง
ความเป็นดุษฎีบัณฑิตในทางอาชญวิทยา ความเป็นตำรวจที่ลงมือปฏิบัติ ความเป็นนักธุรกิจที่ประสบทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จ ความเป็นนักการเมืองที่เคี่ยวกรำจากการต่อสู้
ทำให้มุมมองต่อการเคลื่อนไหวของ #ทานตะวันแบมเปี่ยมด้วยความเมตตา เปี่ยมด้วยความเข้าใจ และทำให้ทะลวงลึกไปยังข้อมูลและความเป็นจริง
เป็นข้อมูลและความเป็นจริงถึงเหตุปัจจัยอันผลักรุนให้เกิดการเคลื่อนไหวว่าเป็นมาอย่างไร
จึงตระหนักใน”การต่อสู้”มิใช่เป็น”การฆ่าตัวตาย”
พื้นฐ่านแห่งการลุกขึ้นมาต่อสู้ของ #ทานตะวันแบม คือความรู้สึก ที่ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม คือความรู้สึกที่ว่าไม่ได้รับการปฏิบัติที่ยุติธรรมอย่างเพียงพอ
ไม่ว่า”ทานตะวัน” ไม่ว่า”แบม”เคยใช้การต่อสู้ในรูปแบบอื่นมาแล้วและรับรู้ว่าไม่ก่อผลสะเทือนอย่างลึกซึ้ง
จึงได้ตัดสินใจใช้”รูป”การต่อสู้อย่างที่”กระทำ”อยู่
เด่นชัดอย่างยิ่งว่าทุกย่างก้าวแห่ง #ทานตะวันแบม อยู่ในการรับรู้และเข้าใจของ โทนี่ วู้ดซั่ม ครบถ้วนกระทั่งสรุปว่านี่คือ อาวุธที่มีอยู่ในมือของน้องๆ
ที่น่าสนใจก็คือ ท่าทีของ โทนี่ วู้ดซั่ม เป็นท่าทีที่ละม้ายอย่าง ยิ่งกับการแสดงออกของ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ซึ่งดำรงอยู่ในฐานะ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย
นี่คือท่าทีแห่งความเป็น”มนุษย์” ท่าทีแห่ง”ความเมตตา”
ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณอันมาจาก 1 โทนี่ วู้ดซั่ม ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณอันมาจาก 1 นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ดำเนินไปอย่างเป็น ปัจเจกแต่ก็ทรงความหมาย
เหมือนสัญญาณจากคณะก้าวหน้า จากพรรคก้าวไกล เท่ากับสถานการณ์ได้ดึง โทนี่ วู้ดซั่ม ได้ดึง นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ มายืนอยู่ในแถวเดียวกันกับของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การเคลื่อนไหว #ทานตะวันแบม