เผยแพร่ |
---|
การแยกและแตกตัวภายใน “พรรคอนาคตใหม่” ที่เกิดขึ้นมิได้เป็นสถานการณ์แปลกพิสดารอะไรเลย ไม่ว่าจะพรรคการเมืองปีกซ้าย ไม่ว่าจะพรรคการเมืองปีกขวา
จำพรรคความหวังใหม่ก่อนการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2535 ได้หรือไม่
เพียง 1 เดือนก็เกิดการแยกแตกตัว
เมื่อ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ซึ่งมาดหมายตำแหน่งเลขาธิการ
ถูกแย่งชิงโดย นายพิศาล มูลศาสตรสาทร ก็แยกตัวออกไปแล้วไปตั้งหลักวิพากษ์อย่างดุเดือด
ยิ่งพรรคไทยรักไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2541 ยิ่งมากด้วยความเข้มข้น
เข้มข้นจากการแยกตัวออกไปของ นายคณิต ณ นคร
บทสรุปสำคัญของแต่ละพรรคการเมืองมีลักษณะร่วมกันคือการเติบใหญ่ของพรรคมาจากความขัดแย้งภายใน เพราะนั่นคือการต่อสู้ในทางความคิด
พรรคประชาธิปัตย์เริ่มแตกตั้งแต่ นายเลียง ไชยกาล แยกออกมาตั้งพรรคประชาชน
นายเทพ โชตินุชิต แยกออกมาอยู่ในแนวสังคมนิยม
ยิ่งการแยกแตกตัวในยุค นายสมัคร สุนทรเวช ยิ่งเข้มข้นพอๆกับการแยกแตกตัวในยุค นายอุทัย พิมพ์ใจชน ตลอดจน นายวีระ มุสิกพงศ์
ขณะที่พรรคไทยรักไทยก็เหมือนพรรคอนาคตใหม่ เมื่อมีการดึงตัว นายเสนาะ เทียนทอง เข้ามา มือกฎหมายระดับ นายคณิต ณ นคร ก็ถอนตัว
การแยกและแตกตัวภายในพรรคอนาคตใหม่อาจเป็นเรื่องอึกทึกแต่ก็เป็นเรื่อง”ภายใน”ที่สามารถเกิดขึ้นได้
โดยเฉพาะในพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ ประเภทเสรีนิยม
หากถือเอาเดือนพฤษภาคม 2561 เป็นจุดเริ่มพรรคอนาคตใหม่ก็มีอายุเพียงไม่กี่เดือน
เป็นไม่กี่เดือนในท่ามกลางการเคลื่อนไหว
เมื่อเป็นการเคลื่อนไหวในทาง “ความคิด” ประสานกับการขับเคลื่อนในทาง “การเมือง”ก็ย่อมมีผลสะเทือนไปถึงภายในองค์ ประกอบในทาง “จัดตั้ง”
การขยับ ปรับเปลี่ยน ภายในจึงปะทุขึ้นตามกฎธรรมชาติ ไม่ว่าการเมืองหรือสังคม