เผยแพร่ |
---|
ไม่มีอะไรสะท้อน “หลักคิด”ของคสช.ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับการผลิตประดิษฐ์สร้าง “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี”
1 สะท้อนหลักคิดในแบบ”คุณพ่อรู้ดี”
ไม่เพียงแต่จะรู้ดีภายในกรอบเพียง 5-10 ปี หากแต่มีความมั่นใจถึงระดับ 20 ปี
1 สะท้อนหลักคิดในเรื่อง “อำนาจ”
มั่นใจว่าอำนาจและการตัดสินใจจะอยู่ในกำมือและความรับผิดชอบของตนยืนยาวไปไม่ต่ำกว่า 20 ปี
ตรงนี้คือคำตอบในประเด็น”การสืบทอด”
1 ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดยังเป็นการยืนยันในหลักคิดอันขัดกับหลักการพื้นฐานของพุทธธรรมอย่างสิ้นเชิง
นั่นก็คือ มองข้ามความเป็นจริงแห่ง”อนิจจัง”
เหมือนกับการกำหนด“ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี”จะยอมรับในภาวะ แห่งความเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ของสังคม
เพราะมีคำว่า 20 ปีเป็นตราประทับ
แต่ลองมองสภาพที่แวดล้อมอันเป็นเหมือนบริบทของสิ่งที่รองรับ “ยุทธศาสตร์” ก็จะประจักษ์ในหลักคิดอันจำหลักอย่างหนักแน่น
นั่นก็คือ หลักคิดที่มองสรรพสิ่งอย่างสถิต หยุดนิ่ง กักขังอยู่ภายในกรอบ
เริ่มจากความเป็นจริงพื้นฐานแห่ง “อำนาจ”
ไม่จำเป็นต้องมองล่วงหน้าไปอีก 20 ปีขอให้มองย้อนกลับไปยังเกือบ 4 ปีภายหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ก็จะสัมผัสได้ในความเปลี่ยนแปลง
“อำนาจ”ในเดือนเมษายน 2561 กับ “อำนาจ”ในเดือนพฤษภาคม 2557 แข็งแกร่ง มั่นคงเหมือนเดิมหรือไม่
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตอบได้ดีที่สุด
ไม่ว่าปรากฎการณ์ที่เห็นผ่านคำสั่งคสช.ฉบับที่ 53/2560 ไม่ว่าปรากฎการณ์ที่เห็นผ่านร่างพรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.และร่างพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.
นี่ย่อมเป็น “สินค้า” ตัวอย่างอันเท่ากับเป็นเงาสะท้อน”หลักคิด”
หลักคิดที่มองสรรพสิ่งอย่างสถิต หยุดนิ่ง ตายตัว
ทั้งๆที่ในความเป็นจริง สรรพสิ่งล้วนหนีไม่พ้นกฎแห่งอนิจจังไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน