E-DUANG : ความได้เปรียบบน”ฐาน”อันง่อนแง่น

หากมองจากที่คสช.มีประกาศและคำสั่ง โดยเฉพาะมีมาตรา 44 อยู่ในมือ เหมือนกับยืนอยู่ในจุดซึ่งได้เปรียบ

ต้องการให้ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร หยุดก็งัดมาใช้

ต้องการให้นักการเมืองสงบนิ่งอยู่ในที่ตั้งก็เอาประกาศและคำสั่งออกมา “ปราม”

แม้จะมีพรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560

ถึงประกาศและบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่จนถึง ณ วันนี้ ก็ไม่ยอม”ปลดล็อก”ให้ พรรคการเมืองก็ได้แต่ร้องแบ๊ะ-แบ๊ะรอคอยความเมตตา

ไม่เพียงแต่ไม่สามารถพบปะประชาชน หากจะจัดทำนโยบาย ก็ยากลำบาก

ขณะที่คสช.เร่ง”ไทยนิยม ยั่งยืน”อย่างคึกคัก

 

มองอย่างตรงไปตรงมา คสช.กุมความได้เปรียบอย่างแน่นอนและเด่นชัดในทางการเมือง

ไม่เพียงแต่นำเสนอ”นโยบาย”อย่างชอบธรรม

หากแต่ยังสามารถดึงเอาเงิน”งบประมาณ”ไปหว่านโปรยสร้างคะแนนและความนิยมอย่างเต็มพิกัด

เป็นการเคลื่อนไหวสร้าง”คะแนน”ด้านเดียว ฝ่ายเดียว

ขณะที่พรรคการเมือง นักการเมือง มิอาจขยับ ขับเคลื่อน ได้แต่นั่งมองทำตาปริบ-ปริบ

คำถามก็คือ พรรคฝ่ายในด้าน”คสช.”ได้อานิสงส์หรือไม่

หากมองไปยังพรรคพลังประชารัฐ พรรคพลังชาติไทย พรรคพลังธรรมใหม่ พรรคพลังมวลมหาประชาชน เป็นต้น ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าจะได้รับความไว้วางใจแค่ไหนเพียงใด

ตรงกันข้าม การปรากฏขึ้นของ”พรรคอนาคตใหม่”กลับมากด้วยความคึกคัก

คึกคักไม่ย่อหย่อนกว่า”พรรคเกรียน”ของ”บอกอลายจุด”

 

ที่คิดว่าคสช.กำลังได้เปรียบก็เริ่มมี “คำถาม”ตามมามากมายแม้ว่า”โพล”สำนักสอพลอจะออกมาสำนองรับ

แต่ “คำตอบ”น่าจะอยู่ที่”ความเป็นจริง”มากกว่า

ความเป็นจริงก็คือ 1 ไม่ยอม”ปลดล็อก”ให้พรรคการเมือง และ 1 ยังมีความไม่แน่นอนเป็นอย่างสูงในโรดแมป “การเลือกตั้ง”

ว่าจะได้เลือกในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 หรือไม่

หากมั่นใจว่า”ได้เปรียบ”ทำไมไม่ประกาศ”วันเลือกตั้ง”