เผยแพร่ |
---|
เหตุใดเมื่อมี “พรรคประชาธิปัตย์” อยู่แล้วจึงต้องมีการเคลื่อนไหวในแบบ “พรรคมวลมหาประชาธิปัตย์”ตามมา
คำตอบก็คือ เพราะ “รัฐธรรมนูญ”
ธงนำของรัฐธรรมนูญอันเนื่องแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษ
ภาคม 2557 คือ ไม่ต้องการให้”เสียของ”เหมือนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
ประการแรกสุด คือ หลักประกันแห่งการสืบทอดอำนาจ ไม่แบ่งอำนาจทางการเมืองไปให้กับใคร
จึงต้องมี 250 ส.ว.อันเท่ากับ”เลือกตั้ง”ล่วงหน้า
ประการต่อมาก็ต้องมีหลักประกันว่า จะต้องไม่มีพรรคใหญ่จะมีก็แต่พรรคขนาดกลาง พรรคขนาดเล็ก
จึงต้อง “มัดตราสัง”ด้วยกระบวนการ”เลือกตั้ง”
ไม้เด็ดที่บรรดา“เนติบริกร”ชงให้กับคสช.ก็คือ แทนที่จะแบ่งเป็นเลือกตั้งด้วยบัตร 2 ใบ กลับมีบัตร 1 ใบ
เมื่อเป็นเช่นนี้พรรคการเมืองก็ต้องปรับเปลี่ยน”กลยุทธ์”
ด้านหลัก พรรคการเมืองต้องเอา ส.ส.ระบบเขตมาเป็นพื้นฐาน และเอา ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อมาเป็นเครื่องเคียง
จึงต้องมี “พรรคการเมือง”อีกต่างหาก
กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์อาจเดินหน้าในเรื่องส.ส.ระบบเขต แต่พรรคมวลมหาประชาธิปัตย์ตักตวงคะแนนจาก ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ
เรียกว่าไม่ยอมให้หายตกหล่น
อย่าได้แปลกใจที่บรรดาแกนนำ “กปปส.”ในระดับ นายถาวร เสนเนียม นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายวิทยา แก้วภราดัย ไม่ยอมไปไหน
ปล่อยให้ นายธานี เทือกสุบรรณ ร่ายรำไป
แม้จะมีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร แต่ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคมวลมหาประชาธิปัตย์ ก็ตัดกันไม่ตาย ขายกันไม่ขาด
เหมือนกับเมื่อตอนที่ออกมาเคลื่อนไหวเมื่อเดือนตุลาคม 2556 นั่นแหละ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คือ กองหน้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือ กองหนุน
แยกกันเดิน รวมกันตี