เผยแพร่ |
---|
การประสานระหว่าง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กับ นายรังสิมันต์ โรม สะท้อนความร่วมมืออันมีลักษณะสร้างสรรค์เป็นอย่างสูงในทางการเมือง
การตัดสินใจของทั้ง 2 ฝ่ายในสถานการณ์เช่นนี้ยืนยันผลดีในการสร้างพันธมิตรท่ามกลางการเคลื่อนไหว
หากประเมินจากบทบาทของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งเกาะติดเรื่องราวอันเกี่ยวกับ”ธุรกิจสีเทา”และการรุกเข้ามาของมาเฟียจีนแผ่นดินใหญ่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2565
ก็จะสามารถต่อแต่ละภาพให้ประสานเข้าด้วยกันได้ทั้งในด้านความจัดเจนอันมีลักษณะ”เฉพาะตัว”ของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จากที่คร่ำหวอดอยู่ใน”ธุรกิจสีเทา”
ขณะเดียวกัน ที่น่าศึกษายิ่งกว่านั้นก็คือ ความจัดเจนในกระ บวนการทางการเมือง ที่ผาดโผนอย่างเป็นเอกเทศและร่วมมือกับ บางพรรคการเมืองมาแล้วระดับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ย่อมตระหนักเป็นอย่างดีว่าจำ
เป็นต้องประสานและเชื่อมต่อการเคลื่อนไหวของตนเข้ากับบท บาททางการเมืองผ่านระบบรัฐสภา
คำถามก็คือ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จะเลือกเชื่อมต่ออย่างไร
โดยความอึกทึกครึกโครมที่ข่าว”ธุรกิจสีเทา”ยึดครองพื้นที่อย่างต่อเนื่องย่อมได้รับความสนใจไม่เพียงแต่ในทางสังคม หากแม้กระ ทั่งจากพรรคการเมือง
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เองก็คร่ำหวอดอยู่ในวงการการเมืองรับรู้เส้นสนกลในเป็นอย่างดี
ในที่สุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็เลือก นายรังสิมันต์ โรม การเลือกอาจเพราะเห็นผลงานตั้งแต่เปิดเรื่อง”บ้านป่ารอยต่อ” กระทั่ง”ตั๋วช้าง” และอาจเพราะความเป็นเลือดเหลือง แดงแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รับรู้ถึงวิธีวิทยาของ นายรังสิมันต์ โรม อันได้มาจากโครงสร้างการทำงานของพรรคก้าวไกลที่ต่อเนื่องมาจากพรรคอนาคตใหม่
เป็นผลงานในการอภิปรายและบทบาทใน”รัฐสภา”
เมื่อฐานข้อมูลอันอุดมสมบูรณ์และหลากหลายของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ผ่านการประมวล การสังเคราะห์ วิเคราะห์ ผ่านทีมของพรรคก้าวไกลก็ปรากฏออกมาอย่างที่เห็นเป็นการเชื่อมจาก”สว.ทรงเอ” เข้ากับ”ตู้ห่าว”อย่างลงตัว
กระหน่ำไปยังสายสัมพันธ์”สีเทา”ที่ดำรงอยู่ภายในพรรคพลังประชารัฐและต่อเนื่องมายังพรรครวมไทยสร้างชาติ
คำถามก็คือ ทั้ง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และพรรคก้าวไกล จะต่อยอดความสำเร็จนี้ได้อย่างไรในทางการเมือง