เผยแพร่ |
---|
คำสั่งคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ได้กลายเป็นคำสั่งอันมีลักษณะในทางประวัติศาสตร์
ดำเนินไปอย่างมีการแบ่งยุคแบ่งสมัยในทางการเมือง
แม้คำสั่งนี้จะเป็นคำสั่งธรรมดาอย่างยิ่งหากเทียบกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับนักการเมืองอื่น แต่เมื่อประสบเข้ากับ พล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีผลสะเทือนอย่างลึกซึ้ง
เนื่องจาก 1 เป็นการสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายก รัฐมนตรี และเนื่องจาก 1 ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีพื้นฐานมาจากรัฐประหาร
ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่จงใจก็ตามมีการสร้างมายาคติทางการเมืองต่อการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่หลังรัฐประ หารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ว่าเป็นความจำเป็น
เป็นความจำเป็นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีคนอื่นเหมาะสมเท่าเทียม เพราะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างที่สุดที่สังคมไทยมีอยู่
ความเชื่อเช่นนี้ยังดำรงอยู่และได้รับการพิสูจน์ทราบในห้วงตั้งแต่ประสบเข้ากับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 24 สิงหาคม
โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้”พิสูจน์ทราบ”
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่กระบวนการพิสูจน์ทราบของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มิได้มีปฏิบัติการอะไรที่ถือว่าใหญ่หลวงเลย แม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม เพียงแต่สำแดงออกผ่านการเปลี่ยนอากัปกิริยา สำแดงออกผ่านวิธีบริหารจัดการอย่างธรรมดาที่สุด
ธรรมดาเพียงแต่รู้จักใช้”โทรศัพท์”ให้เป็น”ประโยชน์”
ธรรมดาเพียงแต่ตอนลงจากรถประจำตำแหน่งแทนที่จะต้องมีคนคอยประคองพยุง ก็ลงมาด้วยกำลังขาของตนเอง
เท่านี้สังคมก็ส่งเสียงขโยโห่ร้องด้วยความพร้อมเพรียงกัน
ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคมเรื่อยมาจนถึงวันที่ 30 กันยายน จึงกลายเป็นระยะเวลาอันมีความหมายในทางประวัติ ศาสตร์ยืนยันในความหมายที่มีอยู่ของรักษาการนายกรัฐมนตรี
ใครก็เป็นได้มิใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนเดียว
นับจากวันที่ 24 สิงหาคมเป็นต้นมาจึงถือได้ว่าเป็นการปลดและคลายล็อกสำคัญในทางการเมืองที่มีการเสกสรรปั้นแต่งเพื่อรองรับกับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
สังคมสู่การวินิจฉัยวันที่ 30 กันยายนด้วยความปลอดโปร่ง
การดำรงอยู่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงธรรมดา
ไม่ว่าจะดำรงอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เป็นเรื่องปรกติ
ในความเป็นจริง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้จบไปแล้ว