เผยแพร่ |
---|
ไม่ว่านโยบายต่อ 1 LBGTQ+ ไม่ว่านโยบายต่อ 1 กลุ่มชาติพันธุ์ ของแต่ละพรรคการเมือง สะท้อนความหมาย ยืนยันความสำคัญ
ต้องยอมรับว่า LBGTQ ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน ต้องยอมรับว่า กลุ่มชาติพันธุ์ ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน
แต่เพิ่งจะมี”ความหมาย”อย่างเป็นจริงในระยะ”หลัง”
ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 อาจมีปรากฏอยู่ในนโยบายของบางพรรคการเมือง ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 อาจมีการเอ่ยถึงและการพยายามมเข้าถึง
ต่อเมื่อหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 เกิดรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 และนำไปสู่การเลือกตั้งอย่างเป็นการทั่วไปในเดือนมีนาคม 2562 นั้นหรอกจึงเกิด”ปรากฏการณ์”
เป็นปรากฏการณ์ที่มีการนำเอา LGBTQ เข้ามาเป็นสมการหนึ่งในทางการเมือง เป็นปรากฏการณ์ที่มีการนำเอากลุ่ม ชาติพันธุ์มาเป็นพลังขับเคลื่อนในทางการเมือง
สังคมเห็นการประกาศตัวของ LGBTQ และการปรากฏตัวของตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์บนเวทีการหาเสียง
และที่สุดก็ได้รับเลือกเข้าไปเป็น”ผู้แทนราษฎร”ใน”สภา”
ทั้ง LGBTQ ทั้ง กลุ่มชาติพันธุ์ แม้จะเริ่มได้รับการยอมรับผ่านกระบวนการเลือกตั้งผ่านพรรคการเมือง แต่ก็ดำรงอยู่อย่างเป็น
“ส่วนน้อย”บนพื้นที่ทางการเมือง
กระนั้น การดำรงอยู่นั้นก็เป็นการดำรงอยู่อย่างมีพัฒนาการ และเติบใหญ่เป็นลำดับ
สัมผัสได้จาก LGBTQ กลายเป็น LGBTQ +
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันร่างกฎหมาย
“สมรสเท่าเทียม”ทั้งบนท้องถนนและในเวทีรัฐสภา ยิ่งก่อให้เกิดภาวะตะลึงตึง
นี่ย่อมเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในการอดีต นี่คือ ภาพแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในทางความคิดและในทางการเมือง
เป็นความคึกคักทั้ง LGBTQ+ และกลุ่มชาติพันธุ์
รูปธรรมจึงอยู่ที่ว่าแต่ละพรรคการเมืองมีความกล้าหาญและเล็งผลทางการเมืองจาก LGBTQ+ และกลุ่มชาติพันธุ์ผ่านมุมมอง อย่างไร
เพียงแต่กำหนด”นโยบาย”แต่มิได้”เข้าหา”อย่างเป็นจริง
แต่ละก้าวย่างนี้จึงอยู่ในสายตาของ LGBTQ+ จึงอยู่ในสายตาของ กลุ่มชาติพันธุ์ อย่างหนักแน่นและจริงจัง
เมื่อท่านพูด คนจะฟัง เมื่อท่านลงมือทำ คนจะเชื่อถือ