ไม่ว่าบทสรุปที่ว่า”ป้อมค่ายตีแตกจากภายใน”จากความจัดเจนในสงครามกรุงทรอย ไม่ว่าบทสรุปที่ว่า”สนิมเกิดแต่เนื้อในตน”จากความจัดเจนแห่งวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ

ยืนยันสัจจะและความเป็นจริงโดยวิทยาศาสตร์”สังคม”และความเป็นจริงโดยวิทยาศาสตร์”ธรรมชาติ”เด่นชัด

นั่นก็คือ ปัจจัย”ภายใน”เป็นเครื่องชี้ขาด”การเปลี่ยนแปลง”

ยิ่งเข้าไปศึกษากรณีของความขัดแย้งเรื่องร่างพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ยิ่งเข้าไปศึกษาข้อถกเถียงและการเคลื่อนไหวในเรื่อง อายุ 8 ปีในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ยิ่งเห็นได้ชัดจากแต่ละรายละเอียดอันสะท้อนผ่านการเคลื่อนไหว ไม่ว่าในทาง”ความคิด” ไม่ว่าในทาง”การเมือง”ว่าสภาพความเป็นจริงคืออะไร

หากไม่มีความขัดแย้ง หากไม่มีปัญหาในระหว่าง”กลุ่ม 3 ป.” ปรากฏขึ้นและดำรงอยู่ก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะมีบุคคลอื่นอันถือว่า เป็น”คนนอก”เข้าไปแสดงบทบาทได้

ไม่ว่าจะมองผ่านบทบาทของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่ว่าจะมองผ่านลีลาลื่นไหลในแบบของพรรคเพื่อไทย

ทุกอย่างยังยืนยัน”สนิม”ย่อมเกิดแต่”เนื้อในตน”เด่นชัด

 

ต้องยอมรับว่าในท่ามกลางการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมายาวนาน 8 ปี มิได้เป็นการดำรงอยู่อย่างราบรื่น หากแต่เป็นการดำรงอยู่ท่ามกลางการคัดค้าน ต่อต้าน

ไม่เพียงเป็นการต่อต้านจากพรรคเพื่อไทยอันเป็นความต่อเนื่องจากพรรคพลังประชาชน พรรคไทยรักไทย

หากแต่ยังมี”ตัวแทน”ของความคิด”ประชาธิปไตย”อีกมาก

นั่นอาจจะเห็นได้จากการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ การเกิดขึ้นของพรรคเสรีรวมไทย

นั่นอาจจะสัมผัสได้จากการลุกขึ้นมาของ”เยาวชนปลดแอก” ของ”แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม”ซึ่งพัฒนายกระดับขึ้นเป็น”คณะราษฎร 2563”

ไม่ว่าจะมองผ่านการเคลื่อนไหวของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ไม่ว่า

จะมองผ่านพรรคการเมืองปะทะเป็นอารมณ์”ร่วม”ในทางสังคม

 

อารมณ์ร่วมจากพรรคการเมืองในปี”ฝ่ายค้าน” อารมณ์ร่วมในทาง สังคมอันสะท้อนผ่านแต่ละการเคลื่อนไหวของ”คณะราษฎร”คืออารมณ์ที่ไม่พอใจต่อการดำรงอยู่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ทั้งหมดนี้ดำรงอยู่อย่างเป็นปัจจัยจาก”ภายนอก”

แม้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องก็ส่งผลสะเทือนก่อให้เกิดการแปร เปลี่ยน ก่อให้เกิดความขัดแย้ง”ภายใน”ของ “ระบอบ”และ”ระบบ”

ความขัดแย้งจาก”ภายใน”คือชนวนแห่ง”การเปลี่ยนแปลง”