ทั้งๆที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของ”คนรุ่นใหม่”เกาะติดอยู่กับกระแสแห่ง”เทคโนโลยี”อย่างแนบแน่น แต่ก็เริ่มมีการตั้งข้อสังเกตต่อพรรคก้าวไกลว่าเริ่มล้าและอ่อนแรง

ที่ว่าล้า ที่ว่าอ่อนแรง เพราะนำเอาภาพของพรรคก้าวไกลไปเปรียบเทียบกับภาพของพรรคอนาคตใหม่

พลันที่ประสบกับผลสะเทือนสดๆร้อนๆ 2 เรื่องประดับเข้ามา นั่นก็คือ 1 กระแสที่ทะยานโลดอย่างพลุ่งโพลงของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และ 1 กระแสต้านกรณีเฟคนิวส์”บำเหน็จบำนาญ”

ปรากฏการณ์”ชัชชาติฟีเวอร์”โดยมีคนที่เคยเอนเอียงมาทาง พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล จำนวนหนึ่งเทคะแนนให้ นายชัช ชาติ สิทธิพันธุ์ แทนที่จะเป็น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร มีมุลเหตุ

มูลเหตุหนึ่งมาจากการก่อรูปของการโหวตในเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากกลัว นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ต้องแพ้ให้แก่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง จึงจำเป็นต้องเสียสละ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร

มูลเหตุหนึ่งมาจากการตั้งรับกับสถานการณ์อันเป็น”วิกฤต”

เนื่องแต่กระบวนการสร้าง”เฟคนิวส์”จากฝ่ายตรงกันข้ามของคณะทำงานในพรรคก้าวไกลยังไม่หนักแน่นและจริงจังเพียงพอ

แทนที่จะรวดเร็วเหมือน”วิโรจน์ จ้องหน้าอก” กลับงุ่มง่าม อย่างยิ่งกรณีมรสุม”เลิกบำเหน็จบำนาญ”อันโหมกระหน่ำ

 

อาจไม่ยุติธรรมอย่างเพียงพอหากเปรียบเทียบ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เข้ากับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เนื่องจากเทศะและกาละใน ทางการเมืองที่แตกต่างกัน

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาพร้อมกับ”ความใหม่”ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สะบักสะบอมจากสถานการณ์ยุบพรรค

จากเดือนมีนาคม 2563 มายังเดือนมิถุนายน 2565 ถือได้ว่ายังเป็นระยะเวลาแห่งการปรับเปลี่ยนและจัดกระบวนทัพ หากมองผลงานโดยรวมในทางการเมืองก็ถือว่ายอดเยี่ยม

เพียงแต่เมื่อประสบกับสถานการณ์บางสถานการณ์อาจยังไม่พร้อมอย่างเพียงพอในการตั้งรับและแก้ไข ตรงนั้นย่อมสะท้อน ให้เห็นกระสวนในการบริหารจัดการภายใน

ไม่ว่าจะมองผ่าน”ระดับหัว” ไม่ว่าจะมองผ่านระดับ”โฆษก”

 

เสียงสะท้อนที่ดังขึ้นในโลกแห่งโซเชียล มีเดีย มิได้มาจากฝ่ายที่เป็นปรปักษ์ ตรงกันข้าม เด่นชัดอย่างยิ่งว่าล้วนแต่เป็นซัมพอร์ตเตอร์และเป็นโหวตเตอร์พรรคก้าวไกลทั้งสิ้น

สถานการณ์”ชัชชาติฟีเวอร์”จึงเท่ากับเป็น”หินลองทอง”

เรียกร้องให้พรรคก้าวไกล โดยเฉพาะ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายชัยธวัช ตุลาธน จำเป็นต้องพิจารณาอย่างมีโยนิโสมนสิการอย่างเพียงพอ

      เพื่อปรับเปลี่ยน”เครื่องจักร”ภายในก่อนเข้าสู่”เลือกตั้ง”