เผยแพร่ |
---|
การเดินเข้าไปหาเสียงใน”ค่ายทหาร”ของพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็นที่เขต 6 สงขลา ไม่ว่าจะเป็นที่เขต 9 จตุจักร หลักสี่ มีความหมายเป็นอย่างสูงในทางการเมือง
ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้ความเชื่อมั่นที่ว่า หากอยากได้”ลูก เสือ” ก็ต้องกล้าที่จะเดินเข้าไปใน”ถ้ำเสือ”
รู้ทั้งรู้ว่าอุณหภูมิทางการเมืองใน”ค่ายทหาร”เป็นอย่างไร
ขณะเดียวกัน ก็รู้ทั้งรู้ว่าแนวคิดและการเคลื่อนไหวตั้งแต่ยังเป็น พรรคอนาคตใหม่ต่อเนื่องมายังพรรคก้าวไกลดำรงอยู่อย่างไรและก่อให้เกิดทัศนคติอย่างไรในทางการเมือง
ไม่ว่าจะเป็นการติดตามงบประมาณของกระทรวงกลาโหมอย่างเกาะติด ไม่ว่าจะเป็นการติดตามการเคลื่อนไหวของ IO อย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปกองทัพผ่านระบบ”เกณฑ์ทหาร”ใหม่
พรรคก้าวไกลตระหนักเป็นอย่างดีว่า แนวคิดที่แพร่กระจายภายใน”กำลังพล”ของกองทัพเป็นอย่างไร
หากไม่เข้าไป”ชี้แจง” ความเข้าใจก็จะยัง”บิดเบี้ยว”เช่นเดิม
หากติดตามบทบาทของพรรคก้าวไกลอย่างประสานกับรากฐานเดิม คือพรรคอนาคตใหม่ ก็จะประจักษ์ได้อย่างเด่นชัดว่าเป้าหมายของ พรรคอนาคตใหม่ซึ่งพรรคก้าวไกลรับมาคืออะไร
เป้าหมายอาจต้องการพูดกับ”นายพล” แต่แท้จริงแล้วก็เพื่อประโยชน์ของ”กำลังพล”ระดับล่าง
ทหารซึ่งมิได้เป็น”นายพล”ต่างหากคือ “มวลชน”ที่แท้จริง
การเข้าหาเสียงผ่านกระบวนการปราศรัยอาจได้พบกับคนที่ผ่านการตระเตรียมเลือกสรรมาแล้ว แต่การได้พูดและทำความเข้าใจก็เป็นเรื่องดี มิใช่หรือ
ไม่ว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ล้วนยึดหลักการทำความเข้าใจเพื่อปักธงในทางความคิด เช่นนี้
ภาพลักษณ์ทางการเมืองไม่ว่าจะในยุคพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะใน ยุคของพรรคก้าวไกล อาจถูกวาดให้เห็นว่าเป็นคนเลือดร้อน หวังผลในทางการเมืองอย่างรวดเร็ว
กระนั้นหากติดตาม”คณะก้าวหน้า” ติดตาม”พรรคก้าวไกล”
ก็จะเริ่มเห็นอย่างเด่นชัดว่า ทั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทั้ง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มิได้ต้องการชัยชนะเพียง 1 วันของการต่อสู้
ตรงกันข้าม กลับเยือกเย็นในการรอคอยอย่างเปี่ยมด้วย”หวัง”