เผยแพร่ |
---|
คำปราศรัยของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า บนเวทีหาเสียง เขต 6 สงขลา มากด้วยความร้อนและสะท้อนสภาพความเป็นจริงทางการ เมืองออกมาได้อย่างล่อนจ้อน
ล่อนจ้อนทั้งในด้านของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ล่อนจ้อนทั้งในด้านของมวลชนที่ส่งเสียงขานรับ
เพราะบรรทัดฐานอัน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ตั้งเอาไว้สำหรับนักการเมืองที่อาสาตัวลงสมัคร ส.ส. ข้อที่ 1 จะต้องมีชาติตระกูล และข้อที่ 2 “ต้องมีตังค์”
ต้องยอมรับว่าบรรทัดฐานนี้เริ่มต้นและสอดรับกับสภาพความเป็นจริงในตัวของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ครบถ้วน ไม่ว่าจะเรื่องของ ชาติตระกูล ไม่ว่าจะเรื่องของเงิน
นี่ย่อมมิได้เป็น “ความลับ” เป็นความรับรู้ร่วมกันทั้งจากพรรค ประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ
ยิ่งกว่านั้น ยังได้รับการขานรับอย่างคึกคักจาก”มวลชน”
เมื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ปล่อยยอดคำเท่ในเรื่อง”ต้องมีตังค์”ออกไป เสียงโห่ร้องจากมวลชนข้างล่างก็อื้ออึงตามมา
ต้องยอมรับว่าชาวปักษ์ใต้เป็นมวลชนที่มีความภักดีกับพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ไม่ว่ายุค นายชวน หลีกภัย ไม่ว่ายุค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์
ขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ก็ถือตนว่าเป็น”สถาบัน”ทาง การเมืองที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย”สุจริต”
ไม่มีการซื้อสิทธิ์ ไม่ยอมให้มีการขายเสียง เพราะนี่คือความภูมิใจของ นายชวน หลีกภัย ตั้งแต่เป็นส.ส.เมื่อปี 2512 และต่อเนื่อง กระทั่งนั่งตำแหน่งประธานสภาเป็นสมัยที่ 2
นายชวน หลีกภัย แม้ว่าจะมาจากชาติตระกูลที่ดี แต่ก็ต้องยอม รับว่าเป็น ส.ส.ที่ยากจน นั่นก็คือเป็นคนไม่มีเงินเติบโตมาจากอยู่วัด
ฐานะ นายชวน หลีกภัย จึงไม่เข้าทาง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
การประกาศบรรทัดฐานทางการเมืองจากปาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ณ เบื้องหน้ามวลชนของพรรคพลังประชารัฐ ที่ เขต 6 สงขลา จึงมากด้วยความท้าทายเป็นอย่างสูง
ไม่เพียงแต่ท้าทายต่อบรรทัดฐานการเมืองพรรคประชาธิปัตย์
หากที่สำคัญและแหลมคมมากยิ่งกว่านั้นก็คือ ท้าทายต่อการตัดสินใจของชาวสงขลาผู้มีสิทธิ์ในการเลือกตั้งอีกด้วย
ผลการเลือกตั้งในวันที่ 16 มกราคมจึงเท่ากับเป็น”คำตอบ”