เผยแพร่ |
---|
ไม่เพียงแต่ “เทคโนโลยี” จะทำให้โลกอันเคยกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่งได้แคบลงมาเป็นลำดับคล้ายกับเป็นเพียงหมู่บ้าน”โลก”ขึ้นมาโดย ฉับพลันทันใด
หากกระบวนการในทางธรรมชาติอย่างเช่น “โรคระบาด”และสภาวะ”เปลี่ยนแปลงของอากาศ”ก็ก่อผลสะเทือนเป็นอย่างสูง
ตัวอย่างสดๆร้อนๆที่คนไทยต้องถูกแรงกระแทกอย่างรุนแรงแข็งกร้าวสุด สุด ได้แก่การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรน่าและโควิดจากอู่ฮั่น ประเทศจีนตั้งแต่ปลายปี 2562
ทำให้ตลอดทั้งปี 2563 สังคมไทยตกอยู่ภายใต้การคุกคามของไวรัสอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะโดยมาตรการ”ชัตดาวน์” ไม่ว่าจะโดยการประกาศและบังคับใช้”สถานการณ์ฉุกเฉิน”
และยังไม่ทันที่ผลสะเทือนจากไวรัสจะจางจากหายไป แรงกระทบจากสภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงก็เป็นสัญญาเตือนหนึ่ง
เท่ากับยืนยันว่า”ภัยธรรมชาติ”จะเป็นการคุกคามอันใหญ่หลวง
ไม่ว่าพรรคการเมือง ไม่ว่านักการเมืองจะปฏิเสธจากแรงเหวี่ยง ของภัยพิบัติเหล่านี้มิได้อย่างเด็ดขาด
เมื่อมองผ่านการรุกเข้ามาของ”เทคโนโลยี” เมื่อมองผ่านการระเบิดขึ้นของ “ภัยธรรมชาติ” ปรากฏการณ์หนึ่งซึ่งประจันหน้าอยู่คือการยากที่จะหลีกเลี่ยง หากแต่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ
สภาพเหล่านี้มิได้เป็นคำถามแต่เพียงต่อคนในรุ่นเอ๊กซ์ คนในรุ่นวายเท่านั้น หากที่สำคัญก็คือ คนในรุ่น”เบบี้ บูมเมอร์”
ปัญหาก็คือ คนในรุ่น”เบบี้ บูมเมอร์”คือคนรุ่นใหญ่ รุ่นอาวุโส
กล่าวสำหรับในสังคมไทย ไม่ว่าจะมองไปยังรัฐบาล ไม่ว่าจะมองไปยังรัฐสภา ไม่ว่าจะมองไปยังสถาบันตุลาการ อำนาจในการกำกับรับผิดชอบเป็นคนรุ่น”เบบี้ บูมเมอร์”
ขณะที่ปัญหาที่โถมเข้ามาอย่างหนักหน่วงกลับเป็นปัญหาใหม่
เป็นปัญหาที่คนรุ่น”เบบี้ บูมเมอร์”ยากจะทำความเข้าใจได้โดยง่าย
สภาพการณ์ทางสังคมของไทยนับแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมาชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าเป็นปัญหาที่กำลังจะบานปลายกลายเป็นปมของความขัดแย้งระหว่างวัย ระหว่างรุ่นแทบจะทุกพื้นที่ของสังคม
ก่อให้เกิดลักษณะอนุรักษนิยมไม่ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมรับกับการเข้ามาของแต่ละปัญหาใหม่ๆที่สลับซับซ้อน
การปะทะทาง”ความคิด”จึงได้กลายเป็นปัญหา”การเมือง”