อาจเพราะสังคมไทยตกอยู่ในบรรยากาศแห่ง”ลับ ลวง พราง”ตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549

การเมืองไทยจึงถูก”ครอบงำ”ด้วยวัฒนธรรม”ลับ ลวง พราง”

ไม่ว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ล้วนถูกถามในเรื่อง”รัฐประหาร”

และได้มีการปฏิเสธอย่างจริงจังแบบ”ชายชาติทหาร”

แต่หลังจากนั้นไม่นานรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ก็เกิดขึ้น และหลังจากนั้นไม่นานรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ก็เกิดขึ้น

ภาพและคำพูดอันออกมาจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในเรื่องความรักความผูกพันที่มีต่อกันยาวนานรวม 50 ปีจึงถูกมองด้วยความแคลงคลางกังขา

กังขาว่าจะดำเนินไปในแบบ”ลับ ลวง พราง”หรือไม่

ความขัดแย้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กะ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อาจเป็นเรื่องจริง

แต่กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อาจเป็นเรื่องหลอกเล่น

 

บทสรุปเช่นนี้สัมผัสได้อย่างเปิดเผย เป็นความเชื่อที่บรรดา”เกจิ”ทาง การเมือง ไม่ว่าจะเรียกว่า”กองเชียร์” ไม่ว่าจะดำรงอยู่ในสถานะแห่ง

“คอมเมนเตเตอร์”มิได้ปิดบังอำพราง

สัมผัสได้จากการยืนยันในความรักความผูกพันไม่ว่าจะออกมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

แม้เมื่อผ่านปรากฏการณ์อันถูกตีความว่าเป็นการประลองกำลังทางการเมืองเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินทางไปเพชรบุรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เดินทางไปพระนครศรีอยุธยา

แม้จะเป็นเงาสะท้อนแห่งการเบียดขบระหว่าง นายสุชาติ ชม กลิ่น กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อย่างเด่นชัด

กระนั้นก็ไม่ระคายถึงสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง”กลุ่ม 3 ป.”

 

หากมองว่าแต่ละปรากฏการณ์คือการเล่นละครในท่วงทำนองแบบ “ลับ ลวง พราง”ทางการเมือง ก็ต้องยอมรับว่าทุกลีลาดำเนินไปอย่างสมจริงน่าใจหาย

เพราะว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ถูกปลดจากตำแหน่งจริง

เพราะว่ามีการเสนอชื่อ นายไผ่ ลิกค์ จากที่ประชุมพรรคพลัง ประชารัฐไปทำหน้าที่ประสานแทน นายสุชาติ ชมกลิ่น

มีคนได้”บำเหน็จ” มีคนถูก”กระทำ”อย่างมิได้ลับ ลวง พราง