เผยแพร่ |
---|
มีความรุนแรง 2 ความรุนแรงที่กระทำต่อ”เยาวชน”โดยตั้งเป้าว่าจะทำให้เกิดความกลัว และกระบวนการชุมนุมเคลื่อนไหวในทางการ เมืองจะค่อยๆฝ่อและจางจากหายไป
1 คือ การใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้ม กระทั่งมีการคุมขังทั้งๆที่ยังไม่มีคำพิพากษา
ดังในกรณีของ นายอานนท์ นำภา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน 1 คือการใช้มาตรการในการสกัดขัดขวางต่อการชุมนุมอย่างเข้มข้นดุเดือด ไม่เพียงแต่จะใช้รถฉีดน้ำหากยังใช้แก๊สน้ำตา การยิงกระสุนยาง
เห็นได้อย่างชัดเจนจากสถานการณ์#ม็อบ28กุมภาพันธ์ เห็นได้อย่างชัดเจนจากสถานการณ์#ม็อบ6มีนาคม และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจากสถานการณ์#ม็อบ20มีนาคม
คำถามที่ตามมาอย่างฉับพลันทันใดก็คือ แล้วบรรดา”เยาวชน” ทั้งหลายบังเกิดความกลัวตามเป้าหมายที่กำหนดหรือไม่
เด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่า อาจกลัว แต่ก็มิได้ยอมจำนน ตรงกันข้าม การชุมนุม การเคลื่อนไหวก็ยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง มิได้ฝ่อ มิได้แผ่วลงแต่อย่างใด
สถานการณ์การชุมนุมอาจเทียบไม่ได้ในเชิงปริมาณกับสถานการณ์ การชุมนุมในห้วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2563 แต่ก็มิได้หมดสิ้นไปอย่างที่มีการป่าวร้องแต่อย่างใด
แม้ว่าการชุมนุมอื่นๆอาจไม่มีปริมาณมากนัก กระนั้น กล่าวสำ หรับการนัดหมายโดย REDEM กลับมากด้วยความคึกคัก
หากจะศึกษากระบวนการปรากฏขึ้นและดำเนินไปผ่านการนัดหมายของ REDEM ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม
ภาพที่เห็นก็คือ ไม่ว่าจะนัดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไม่ว่าจะนัดที่ 5 แยกลาดพร้าว ไม่ว่าจะนัดที่สนามราษฎร์ มวลชนต่างทยอยกันเข้าร่วมอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
สะท้อนให้เห็นว่าความรุนแรงในวันที่ 28 กุมภาพันธ์กลับกระตุ้นให้มาในวันที่ 6 และในวันที่ 20 มีนาคม
ทั้งๆที่มีความรุนแรงรออยู่ ทั้งๆที่การชุมนุมของ REDEM ไม่มีแกนนำ ไม่มีเวที ไม่มีการปราศรัย แต่ปรากฏว่าปริมาณของมวลชนที่เข้า ร่วมกลับมากขึ้น มากขึ้น
ไม่ว่าจะมองจากทางด้านของรัฐบาล ไม่ว่าจะมองจากทางด้านของตำรวจ ย่อมเป็นปฏิกิริยาที่สวนทางกับที่คาดหวังตั้งไว้เด่นชัด
ปรากฏการณ์เช่นนี้น่าศึกษา น่าวิเคราะห์อย่างจริงจัง