เผยแพร่ |
---|
ภาพการเคลื่อนไหวต่อต้าน”รัฐประหาร”ที่ปรากฏขึ้นในสังคมประเทศพม่านับจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นความนิยมต่อ นางอองซาน ซูจี
หากที่สำคัญเป็นอย่างมากยังยืนยันถึงความแข็งแกร่งของพรรคของ นางอองซาน ซูจี ว่าหนักแน่นเพียงใด
ความหนักแน่นในที่นี้คือความหนักแน่นในการจัด”องค์กร”
แท้จริงแล้ว คะแนนที่พรรคของ นางอองซาน ซูจี ได้มาในการ เลือกตั้งเมื่อปี 2558 ก็เห็นอย่างเด่นชัดว่าได้รับความนิยมเหนือกว่า พรรคของทหารอย่างเป็นรูปธรรม
แม้ทหารจะครองอำนาจอย่างยาวนานนับแต่ปฏิบัติการรวบและกระชับอำนาจในเดือนสิงหาคม 2531 ยาวนานและต่อเนื่องมา เป็นเวลาถึง 50 กว่าปี
กระนั้น เมื่อเข้าสู่สนามการเลือกตั้งพรรคของ นางอองซาน ซูจี ก็กำชัยชนะเหนือกว่าอย่างงดงาม
และเมื่อเข้าสู่สนามการเลือกตั้งอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2563 ยิ่งเป็นชัยชนะที่ได้มามากกว่าถึงร้อยละ 80 เท่ากับยึดครองเสียงข้างมากเกือบเบ็ดเสร็จ
ชัยชนะไม่ว่าเมื่อปี 2558 ไม่ว่าในปี 2563 โดยพื้นฐานอาจเป็นเพราะชื่อเสียงและเกียรติภูมิในการยืนหยัดต่อสู้ของ นางอองซาน ซูจี ว่าอยู่ในใจของประชาชนมากน้อยเพียงใด
แต่ชื่อเสียงและเกียรติภูมินี้แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากไม่มีการแปรไปสู่การบริหารจัดการ”องค์กร”อย่างเข้มแข็ง
นั่นคือ การแปรความนิยมมาเป็น”คะแนนเสียง”การเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน เมื่อประสบกับการสกัดขัดขวางในทางการเมืองคะแนนและความนิยมซึ่งเคยเป็นคะแนนเสียงของการเลือกตั้งก็แปร มาเป็นพลังในทางการเมืองอย่างมีกัมมันตะ
สัมผัสได้ไม่ว่าจะเป็นชาวพม่าในประเทศ หรือชาวพม่าที่พักอาศัยและทำงานอยู่ในต่างประเทศ
หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบคงไม่อึกทึกเพียงนี้
พลังอันสามารถสำแดงเป็นพลานุภาพในทางการเมืองได้ในระดับที่เราเห็นผ่านการเคลื่อนไหวไม่ว่าที่ย่างกุ้ง ไม่ว่าที่มัณฑะเลย์เช่นนี้จัดได้ว่าเป็นพลานุภาพอันสะท้อน”กัมมันตะ”เป็นอย่างสูง
นั่นหมายถึงการปักธง”ความคิด”อันเข้มแข็ง จึงได้สำแดงออกมาเป็นปฏิบัติการทาง”การเมือง”ได้ขนาดนี้
พลังและความสามารถในการบริหารจัดการ”องค์กร”จึงสำคัญ